I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 313 ความเข้าใจที่ลึกซึ้งในวิถีแห่งเจตจำนงค์

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

‘หลงเทียนหมิง’ เดินออกมาด้านหน้า กวาดตามองฝูงชนพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย

“ในตอนนี้ ฉินเยี่ย และ เยี่ยเชียน ได้แสดงความสามารถของพวกเขาแล้ว คือการดีดพิณ และ เขียนอักษร ตามลำดับ และจำเป็นต้องมีผู้เล่นสองคนในการเล่นหมากล้อม  และในตอนนี้ ข้าขอแสดงความโง่เขลาของตัวเอง ด้วยการแสดงทักษะการวาดภาพ ”

‘หลงเทียนหมิง’ยกพู่กันขึ้นแล้วจุ่มลงไปในหมึก ดวงตาของเขานั้นจ้องมองไปยังกระดาษเปล่าที่อยู่ตรงหน้าของเขา

ก่อนหน้านี้’หลงเทียนหมิง’ได้ยิ้มอย่างสำราญใจ แต่ในตอนนี้ เขาแสดงออกราวกับเป็นน้ำนิ่งที่ไหลลึก และภูเขาที่สูงตระหง่าน ปรากฏออกมาให้เห็นบนใบหน้าของเขา พร้อมด้วยกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นที่แผ่ออกมา

ผู้ชมที่ด้านล่างถึงกับอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง

‘หลงเทียนหมิง’ ดูราวกับดาบที่ถูกชักออกมาจากฝัก ราวกับว่าเขาพยายามที่จะบังคับให้ผู้ชมยอมจำนนต่อกลิ่นอายที่เขาแผ่ออกไปเท่านั้น พู่กันในมือของเขานั้นเริ่มจรดลงกับกระดาษ และขีดเขียนราวกับอสรพิษและมังกร เหลือไว้เพียงแค่ลวดลายที่ตัดผ่านหน้ากระดาษ อย่างช้า ๆแต่แน่วแน่

มองเป็นรูปลักษณ์สัตว์ร้ายอยู่บนแผ่นกระดาษ มันจะต้องเป็น มังกรศักดิ์สิทธิ์ปีกโลหิต 翅血圣龙 : ชี่เชี่ยเซิ่นหลง ที่ยืนตระหง่านและกำลังสยายปีกเป็นแน่

ตั้งแต่กระดูกมังกร เกล็ดมังกร ปีกมังกร 龙骨、龙鳞、龙翼 ทุกๆส่วนของร่างกายถูกวาดขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง

มังกรศักดิ์สิทธิ์ปีกโลหิต ดูราวกับว่ามันพร้อมที่จะกระโจนออกมาจากกระดาษ ดวงตาของมันมีประกายที่น่ากลัวยิ่งนัก ดูราวกับว่ามันคือผู้ที่กุมทุกชีวิตของทุกคนที่อยู่ที่นี่เอาไว้

ภาพวาดนี้บรรจุไปด้วยวิถีแห่งเจตจำนงค์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และคุณภาพสูงยิ่งนัก เหล่านักเรียนต่างรู้สึกหลงไหลและชิ่มชมเพียงแค่ได้เห็นมังกรศักดิ์สิทธิ์ปีกโลหิต

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการบรรเลงพิณของ’ฉินเยี่ย’ และการเขียนอักษรของ’เยี่ยเชียน’ ด้อยกว่าและห่างชั้นเมื่อเทียบกับภาพวาดนี้ รวมไปถึงกลิ่นอายที่ถูกบรรจุอยู่ในนี้ก็สูงส่งเป็นอันมาก

เมื่อเทียบกับ’ฉินเยี่ย’ และ ‘เยี่ยเชียน’ ความเข้าถึงในวิถีแห่งเจตจำนงค์นั้น เมื่อเทียบกับความเข้าถึงของ’หลงเทียนหมิง’แล้ว ราวกับหิ่งห้อย กับ จันทราเลยทีเดียว ราวกับว่าพวกเขายืนอยู่บนโลกคนละใบ

“ข้านั้นได้แสดงความโง่เขลาของตัวเองออกไปแล้ว”

‘หลงเทียนหมิง’ เขาได้หยุดพู่กันและวางมันลงไปด้านข้าง กลิ่นอายอันแข็งแกร่งของเขาถูกดึงออกมาพร้อม ๆกับพู่กัน

 “ศิษย์พี่หลงเทียนหมิง วาดรูปออกมาได้น่าประทับใจยิ่งนัก มันเต็มไปด้วยวิถีเจตจำนงค์แห่งราชันย์ พวกเราคงทำได้แค่เพียงส่งเสียงชื่นชมเท่านั้น!”

‘เยี่ยเชียน’ลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยคำเยิยยอ

“ศิษย์พี่หลงเทียนหมิง มังกรศักดิ์สิทธิ์ปีกโลหิต ที่ปกครองแผ่นดิน สง่างามยิ่งกว่าวีรชนใดๆ จากภาพวาดนี้ ต่างก็มองเห็นจิตใจที่กว้างขวางของศิษย์พี่หลงเทียนหมิง!”

‘เนี่ยลี่’รู้สึกขบขันกับคำเยินยอของ’เยี่ยเชียน’ เจตจำนงค์ในวิถีจากภาพวาดของ’หลงเทียนหมิง’ ยังห่างไกลจากคำว่า สูงส่ง และยิ่งห่างไกลเมื่อเทียบกับ วิถีเจตจำนงค์แห่งราชันย์ และภาพนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่สื่อถึงจิตใจที่กว้างขวางอย่างที่เยี่ยเชียนพูดชื่นชมเลยสักนิด ควรจะพูดว่า ‘หลงเทียนหมิง’เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานมากจะเหมาะสมกว่า

ด้วยความจริงที่ว่า ‘หลงเทียนหมิง’นั้นเป็นคนที่ดุร้ายป่าเถื่อนและมีความทะเยอทะยานยิ่งนัก แต่ถึงอย่างนั้นความสามารถของเขานั้นก็เรียกได้ว่าน่ามหัศจรรย์ เขาจึงนับเป็นศัตรูที่น่ารำคาญจนอยากจะวิ่งหนี

‘หลงเทียนหมิง’มองไปยัง ‘หมิงเยี่ย วู่ซวง’ กับ ‘เหยียนหยาง’ เขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

“สำหรับศิลปะ 4 แขนงที่ยังคงเหลืออยู่ก็คือ หมากล้อม พวกท่านยินดีที่จะเปิดเผยฝีมือเล็กน้อยสำหรับทักษะในการเล่นมากล้อมสักหน่อยไหม? ”

ทั้งสองคนถูกเรียกร้องให้มาเล่นหมากล้อม และผลของมันก็จะถูกตัดสินได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากว่าผู้ใดมีวิถีแห่งเจตจำนงค์ ที่แข็งแกร่งกว่าและสามารถที่จะข่มอีกฝ่ายได้ นึกนับว่าเป็นเรื่องยากที่จะสามารถแสดงทักษะออกมาได้อย่างเต็มที่ และผู้แพ้ก็ต้องอับอายยิ่งนัก

‘หลงเทียนหมิง’ พยายามที่จะให้ ‘หมิงเยี่ย วู่ซวง’ กับ ‘เหยียนหยาง’ ตัดสินกันด้วยวิธีนี้

หนึ่งในนั้นคือ โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักอัคคี และอีกคนก็คือ ธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักเสียงสวรรค์ ถ้าหากพวกเขาแข่งขันกันผลลัพธ์จะเป็นเช่นใด? ผู้คนที่ดูอยู่อดไม่ได้ที่จะคาดหวังในการแข่งขันครั้งนี้ ‘เหยียนหยาง’ยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า

“ข้าก็ไม่ได้รังเกียจมันหรอกนะ”

แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่านี่เป็นแผนของ’หลงเทียนหมิง’ ‘เหยียนหยาง’ก็ไม่ได้ใส่ใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ปฏิเสธความคิดนี้ เพราะ’เหยียนหยาง’ไม่เคยเกรงกลัวที่จะสู้กับผู้ใด

‘หมิงเยี่ย วู่ซวง’ อดไม่ได้ที่จะยิ้ม

“คงจะเป็นการแสดงความโง่เขลาของตัวเอง ข้าไม่ค่อยที่จะได้เล่นหมากล้อมมากนัก ข้าจึงมิได้ชำนาญในการเล่นหมากล้อมสักเท่าใด ดังนั้นเจตจำนงค์ในวิถีนี้ ข้าคงไม่อาจเทียบได้กับศิษย์น้องเหยียนหยาง  ข้าขอปฏิเสธที่จะแข่งกับศิษย์น้องเหยียนหยาง เพราะข้าไม่ต้องการที่จะทำให้ตัวเองต้องขายหน้า ข้าจึงขอแสดงทักษะการบรรเลงพิณแทนก็แล้วกัน”

เหล่าผู้คนอดไม่ได้ที่จะผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อยหลังที่ได้ยินคำพูดของ’หมิงเยี่ย วู่ซวง’ พวกเขาก็ไม่กล้าที่ตัดสินว่า’หมิงเยี่ย วู่ซวง’
นั้นกลัวที่จะต่อสู้กับ’เหยียนหยาง’

แม้ว่าทุกคนจะพลาดชมการแข่งหมากล้อมระหว่างสองยอดฝีมือ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่า ฝีมือด้านการดีดพิณของ’หมิงเยี่ย วู่ซวง’นั้นเป็นอะไรที่คุ้มค่าและตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

‘หลงเทียนหมิง’ถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่า ‘หมิงเยี่ย วู่ซวง’ นั้นหวาดเกรงกับคำค้าทายนั้นและถอนตัวออกมา จริงแล้วไม่ว่าจะเป็น ‘หมิงเยี่ย วู่ซวง’ หรือว่าตัวเขาเอง ก็คงจะต้องคิดหนักถ้าหากจะต้องรับคำท้าทายของ’เหยียนหยาง’

เพราะเขานั้นเก่งกาจมากเกินไป

‘หมิงเยี่ย วู่ซวง’ เดินไปด้านหน้า แต่นางก็มิได้นั่งเมื่อมาถึงตรงหน้าพิณ แต่นางขยายนิ้วมือที่เรียวยาว ราวกับกับหยกและค่อย ๆดีดสายพิณอย่างนิ่มนวล

*แตร๊ง งงงงงงง*

เสียงที่ก้องกังวาลชัด ไพเราะราวกับ ดอกไม้กำลังผลิบาน เสียงค่อย ๆ กังวาลไปทั่วทั้งห้องโถง ท่วงทำนองเชื่องช้า วนเวียนราวกับไม่ที่สิ้นสุด

ทันทีที่ได้ยินเสียงพวกเขารู้สึกผ่อนคลาย ราวกับว่าพวกเขานั่งอยู่บนสรวงสวรรค์ เสียงเพลงเบาหวิวทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลาย และใบหน้าพวกเขาแสดงออกถึงความลุ่มหลง แม้ว่า’หลงเทียนหมิง’กับ’เหยียนหยาง’ จะไม่ได้รับผลกระทบเท่ากับคนอื่น
แต่ในใจของเขาก็ไม่อาจที่จะสงบได้จากเสียงพิณของนาง

เสียงพิณของนางนั้นทำให้จิตใจของทุกคนสงบลง

เหล่าผู้ฟังต่างจมดิ่งไปด้วยเจตจำนงค์ที่ลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่ในท่วงทำนองเพลงพิณของนาง และพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่อาจที่จะหาทางออกได้เลย

หลังจากเวลาได้ผ่านไปท่วงทำนองนั้นค่อย ๆ จบลง แต่ถึงกระนั้น ท่วงทำนองเหล่านั้นยังคงคั่งค้างอยู่ในใจของทุกคน

เพียงแค่ท่วงทำนองเพลงพิณแค่บทเพลงเดียว ก็ลึกซึ้งเกินกว่าภาพวาดของ’หลงเทียนหมิง’แล้ว ด้วยมันมีแรงขับเคลื่อนอารมณ์ให้คล้อยไหว ทำให้ผู้ฟังต่างรู้สึกเพลิดเพลิน

‘หลงเทียนหมิง’ถึงกับป้องถือคำนับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่า ศิษย์พี่หมิงเยี่ย สามารถสำเร็จท่วงทำนองพิณสันติภาพแห่งสรวงสวรรค์แล้ว มันช่างเป็นความมหัศจรรย์ยิ่งนัก หลงเทียนหมิงผู้นี้  ขอน้อมรับความพ่ายแพ้”

แม้ว่า’หลงเทียนหมิง’ จะเอ่ยปากยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ก็มีถ้อยคำเน้นย้ำที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา เขาเพียงแค่บอกว่า ‘หมิงเยี่ย วู่ซวง’ บรรเลงเพลงสันติภาพแห่งสรวงสวรรค์ เขายอมรับความพ่ายแพ้ ในเทคนิคของการบรรเลงเพลงดังกล่าว แต่มิได้ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อ’หมิงเยี่ย วู่ซวง’ แต่อย่างใด

‘หมิงเยี่ย วู่ซวง’ นั้นมิได้ใส่ใจกับคำพูดของเขา นางจึงได้เพียงแต่ยิ้ม นางบรรเลงบทเพลงนี้เพียงเพื่อต้องการให้ทุกคนสงบใจ ไม่สนใจในการแข่งขัน นางมิได้ตั้งใจจะแสดงฝีมือว่าเหนือกว่าผู้อื่นแต่อย่างใด

“ถูกต้องแล้วนั่นคือบทเพลงสันติภาพแห่งสรวงสวรรค์ ศิษย์น้องหลงเทียนหมิงมีสายตาที่เฉียบคมยิ่งนัก ในตอนนี้ข้าได้เสร็จสิ้นการแสดงฝีมือของข้าแล้ว ขอเชิญผู้ที่จะมาแสดงฝีมือคนต่อได้แล้ว”

หลังจากพูดจบ’มิงเยี่ย วู่ซวง’ ได้ค่อยๆเดินลงจากเวที ทีละก้าว อย่างสง่างาม

ไม่พียงแต่ผู้ชมที่ถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ ทุกคนต่างหลงสเน่ห์อันสง่างามของนางทันที พวกเขามองไปยัง’หมิงเยี่ย วู่ซวง’ ด้วยจิตใจที่สงบยิ่งนัก  แม้จะป็นเพียงการบรรเลงพิณแค่บทเพลงเดียว แต่มันส่งผลต่อจิตใจของพวกเขายิ่งกว่าภาพวาดของหลงเทียนหมิงเสียอีก

ภาพวาดของ’หลงเทียนหมิง’นั้นสยบผู้อื่นด้วยพลังและอำนาจ ท่วงทำนองเพลงพิณของ’หมิงเยี่ย วู่ซวง’ นั้นราวกับบทเพลงแห่งสวรรค์ ที่บ่งบอกถึงความเข้าใจอย่างเที่ยงแท้

แม้แต่ในตอนนี้ เหล่าศิษย์ทั้งหลาย ก็ยังคงตกอยู่ในท่วงทำนองของเสียงพิณของนางอยู่

ความสงบเงียบของ’หมิงเยี่ย วู่ซวง’ ได้ถ่ายทอดไปยังคนอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน

นางนั้นช่างเหมาะสมกับชื่อ ‘ธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักเสียงสวรรค์’ อย่างแท้จริง ความรอบรู้ในการบรรเลงพิณของนางนั้น เข้าไปสู่ขอบเขตที่เรียกว่า น่ามหัศจรรย์แล้ว

‘เนี่ยลี่’มองดูด้านหลังของ’หมิงเยี่ย วู่ซวง’ ในขณะที่เขาจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ไม่ต้องคิดเลยว่าผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากันระหว่าง ‘หลงเทียนหมิง’กับ’หมิงเยี่ย วู่ซวง’

เนื่องจากเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘หมิงเยี่ย วู่ซวง’   นั้นเก่งกาจกว่า’หลงเทียนหมิง’ ไปห่างไกลนัก อาจจะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเอาชนะ’หมิงเยี่ย วู่ซวง’ ได้ในแง่ของความเก่งกาจรอบรู้ได้

คนผู้นั้นก็คือ ท่านอาจารย์ ‘อิงเยว่ลู่’

ต่อไปก็เป็นรอบของ’เหยียนหยาง’เขาค่อย ๆเดินที่ด้านหน้า เหล่าฝูงชนอดไม่ได้ที่จะจ้องมอง และคาดเดาว่าเขาจะเลือกแสดงฝีมืออะไรในศิลปะ 4 แขนง

“เป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก ที่ศิษย์พี่หมิงเยี่ย วู่ซวง ไม่ต้องการที่จะเล่นหมากล้อมกับข้า ดังนั้นข้าคงจะทำได้เพียงแสดงการเล่นอย่างไม่เป็นทางการเท่านั้น”

‘เหยียนหยาน’พูดพร้อมกับยิ้ม และเดินไปที่กระดานหมากล้อม เขาหยิบเม็ดหมากล้อมสีดำขึ้นมาหนึ่งเม็ด และหันมามองที่กระดานหมากล้อม

ทันทีที่เขายกตัวหมากขึ้นไป ได้เกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น แม้ว่าจะเห็นได้ชัด’เหยียนหยาง’นั้นยืนอยู่บนเวที แต่กลับมีความรู้สึกว่าเขาจางหายไป ไม่มีใครที่ตรวจจับการคงอยู่ของเขาได้

ในเวลาเดียวกัน กระดานหมากล้อมนั้นก็แผ่ขยายออกอย่างไร้ที่สิ้นสุด ราวกับว่ามันกลายเป็นพื้นผิวของโลกอีกใบ

มันราวกับว่ามีภูเขาและพื้นน้ำ ปรากฏขึ้นมาบนกระดานหมากล้อม แต่ก็มิได้เป็นสิ่งที่มีชีวิต เป็นเพียงโครงสร้างของพื้นผิวของมันเท่านั้น ‘เหยียนหยาง’ได้ค่อย ๆ วางตัวหมากลงไป

ทันทีที่วางตัวหมากลงไป ลำธารแห่งชีวิตก็ได้ระเบิดออกมาในรูปแบบของ ดอกไม้ พืชตามเนินเขาและสิ่งมีชีวิตในน้ำ พลังที่แข็งแกร่งจนเอ่อล้นออกมา ทำให้ในใจของทุกคนนั้นได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก

การเปลี่ยนแปลงในโลกใบเล็ก ๆนี้ ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต่างตื่นตกใจเป็นอันมาก พวกเขารู้สึกว่าพืชพรรณและดอกไม้ เจริญงอกงามในดินแดนเล็กๆนี้ และมันเต็มไปด้วยพลังของ ฟ้าและดินอย่างเหลือล้น

ตัวหมากของ’เหยียนหยาง’นั้นเต็มไปด้วยวิถีแห่งเจตจำนงค์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด มันถูกวางลงตรงจุด เทียนหยวน 天元 จุดกึ่งกลางกระดาน เป็นเวลาอันยาวนานที่ทุกคนจมอยู่กับโลกใบเล็กแห่งนี้

หลังจากที่ได้วางตัวหมากลงไปแล้ว ‘เหยียนหยาง’ก็ยกมือของเขาออกมา เขายังคงยืนนิ่งอยู่ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า

“เนื่องจากว่าไม่มีผู้ใดเล่นกับข้า ข้าจึงขอวางหมากเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น”

‘เหยียนหยาง’ค่อย ๆเดินลงมาจากเวทีด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง

‘เนี่ยลี่’มองดู’เหยียนหยาง’ด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่า ความเข้าถึงวิถีแห่งเจตจำนงค์ของ’เหยียนหยาง’จะไปถึงระดับนี้ได้ ความเข้าใจของ’หลงเทียนหมิง’นั้นไม่อาจจะเรียกได้ว่า สูงส่ง แต่สำหรับ’เหยียนหยาง’นั้น ความเข้าถึงของเขานั้นอาจเรียกได้ว่า วิถีเจตจำนงค์แห่งราชันย์ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ในชีวิตที่แล้วของเขา ในยุคที่’เหยียนหยาง’ได้เป็นผู้นำสำนักอัคคี ถึงได้เฟื่องฟูนัก

เมื่อเทียบกันระหว่าง ‘เหยียนหยาง’ ‘หมิงเยี่ย วู่ซวง’และ’หลงเทียนหมิง’แล้ว เห็นได้ชัดว่า’เหยียนหยาง’นั้นเหนือกว่าทั้งสองคนอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดในสามคนนี้ ที่สามารถโน้มน้าวอีกสองคนที่เหลือได้ ความสามารถของพวกเขานั้นส่งกระทบต่อคนอื่น ๆได้ แต่การกระทำของเขาก็พิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า แม้เขาจะเหนือกว่าอีกสองคน แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะปกครองอีกสองคนนั้น

หลังจากที่’เหยียนหยาง’ได้ลงจากเวที ราวกับเป็นการปลุกผู้ชมให้ตื่นจากภวังค์ พวกเขายังคงรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับสิ่งที่เขาเพิ่งจะได้เห็นไป

‘ฉินเยี่ย’ ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า

“ศิษย์พี่ทั้งสามได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้แก่พวกเรา ในความเห็นของข้านั้น ผู้ใดชนะหรือผู้ใดนั้นพ่ายแพ้นั้น ไม่ได้สำคัญเลย สิ่งสำคัญคือเหล่าศิษย์พี่ ได้แบ่งปันความรู้แจ้ง ในวิถีแห่งเจตจำนงค์ของจอมยุทธ  วันนี้นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะพลังของแต่ละคนต้องก้าวหน้าขึ้นราวกับการบ่มเพาะพลังมานับเดือน การเดินทางมาครั้งนี้นับว่าไม่สูญเปล่าเลยแม้แต่น้อย”

เหล่าศิษย์ของสามสำนักใหญ่ต่างเห็นพ้องไปกับคำพูดของ’ฉินเยี่ย’ แพ้หรือชนะหาได้สำคัญเลยไม่ พวกเขาได้เปิดโลกทัศน์ใหม่อย่างแท้จริง พวกเขายังคงจมอยู่กับสิ่งที่ทั้งสามคนได้แสดงออกมา

ยอดฝีมือทั้งสามคนได้รับความสนใจเป็นอันมากในถ้องโถงด้านข้างนี้ นอกเหนือไปจากการได้รับรู้ถึงความเข้าใจในบางอย่าง เหล่าลูกศิษย์ก็รู้สึกอยู่ลึกๆว่า พวกเขานั้นด้อยกว่าถึงเพียงไหน พวกเขาทั้งสามคนนั้นมีเจตจำนงค์ที่เหนือล้ำเกินกว่าคนธรรมดา การที่จะไปให้ถึงระดับของทำสามคนนั้นเป็นสิ่งที่ยากเย็นเกินไป

‘ฉินเยี่ย’ยิ้มและกวาดสายตาของนางไปยังฝูงชน

“ยังมีผู้ใดอีกไหม ที่ต้องการแสดงทักษะของตนเองให้พวกเราได้เห็น?”

ทุกคนต่างหันไปจ้องหน้ากัน ทั้งสามคนนั้นเพิ่งจะแสดงทักษะของพวกเขาเสร็จสิ้นไป  ผู้ใดจะกล้าที่จะออกไปแสดงฝีมืออีกหล่ะ? ถ้าหากมีผู้ใดขึ้นไป  การแสดงของเขาก็จะเป็นแค่ทักษะที่น่าสมเพช หลังจากที่ได้เห็น ฝีมือของเหล่ายอดฝีมือก็เท่านั้น

แปลโดย นายมะพร้าว

คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ

ที่มา:

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments