I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 319 ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

‘เนี่ยลี่’ยังคงพูดคุยกับ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ และคุยกันเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ’เอียจื้ออวิ้น’

เป็นที่ชัดเจนว่า ‘เอียจื้ออวิ้น’ นั้นมีสายเลือดที่มีความสอดคล้องกัน ดังนั้นนางจึงได้ตัดสินใจที่จะเข้าไปยังพื้นที่ฝึกฝนแห่งความลับของสำนักเสียงสวรรค์ การบ่มเพาะพลังของนางนั้นเหนือล้ำยิ่งกว่า’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’เสียอีก

‘เอียจื้ออวิ้น’และ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ ทั้งสองคนมีความสามารถอย่างน่ากลัว พวกนางนั้นได้เป็นที่รู้จักในนามของ ฝาแฝดราศีเมถุน ในกลุ่มคนรุ่นใหม่นั้นได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

‘เนี่ยลี่’รู้สึกมั่นใจยิ่งนัก ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ‘จื้ออวิ้น’กับ’หนิงเอ๋อ’ มีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างดี สำหรับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจนั้น ‘เนี่ยลี่’ไม่ต้องการให้พวกนางไปพัวพันกับมัน

เมื่อมองผ่านฉากกั้น ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’มองเป็นภาพลางๆ และรูปร่างอันคุ้นเคย อย่างไรก็ตามทุกๆครั้งที่นางมองเขานางก็จะรู้สึกสงบ
แม้ว่านางจักต้องพลีกายให้กับ’เนี่ยลี่’ นางก็จักไม่คร่ำคราญเสียใจภายหลังเป็นแน่

“เนี่ยลี่ เจ้าได้เตรียมพร้อมที่จะออกไปยังโลกภายนอกแล้วหรือไม่?”

‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’เอ่ยถาม

 “เรื่องนั้น แน่นอนอยู่แล้ว”

สายตาของ’เนี่ยลี่’นั้นมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย แต่เขาก็ยังคงยิ้มและพูดต่อไปว่า

“ในตอนนี้ ข้าเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์ ข้าต้องการที่จะบรรลุอย่างน้อยในระดับ 2 ชะตา สำหรับการออกไปยังโลกภายนอก ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วข้าก็ไม่รู้ว่า จักต้องตายสักกี่ครั้ง ”

“อืม”

‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’พยักหน้าเห็นด้วย นางนั้นมิได้กังกลเกี่ยวกับ’เนี่ยลี่’สักเท่าใดนัก เพราะเขามักจะมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าก่อนจะทำอะไรเสมอ เขามีพลังบางอย่างที่จะช่วยให้ทุกคนคลายกังวลได้

‘เนี่ยลี่’ยังคงทำการหลอมรวมจิตอสูรต่อไป โชคดีที่ ‘กู้เบ่ย’นั้นหาจิตอสูรมาได้มากพอ  ด้วยเหตุนั้น’เนี่ยลี่’ จึงสามารถทำการหลอมรวมพวกมันได้อย่างไม่ขาดตอน

เขาสามารถหลอมรวมจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้าได้เป็นตัวที่สอง นับตั้งแต่ที่เขาใช้พลังงานสวรรค์
ในการบังคับการผสานหลอมรวมจิตอสูรเมื่อก่อนหน้านี้ เมื่อใดก็ตามที่เขาได้ทำการหลอมรวมจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้า เขาก็จะใช้พลังงานสวรรค์ในร่างกายของเขา ข่มมันเอาไว้

การหลอมรวมครั้งที่สองได้สำเร็จแล้ว แต่มันก็มิได้มีคุณสมบัติแห่ง วายุอัสนี แต่ก็มีสายฟ้าที่บริสุทธิ์ เป็นวิหคอัสนีสีชาดศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้มันยังกลายพันธุ์อีกด้วย ดังนั้นมันจึงเข้ากันได้ดีกับ’หนิงเอ๋อ’

ส่วนมังกรปีกอินทรีทมิฬ ที่หลอมรวมมาได้ก่อนหน้านี้สามารถที่จะมอบให้กับ’เซี่ยวซุ่ย’ได้

อย่างไรก็ตาม’เนี่ยลี่’ ยังคงต้องการที่จะหลอมรวมให้ได้มากกว่านี้อีกสักตัวสำหรับ’เอียจื้ออวิ้น’ และส่งให้’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’นำไปมอบให้แก่นาง

หลังจากนั้นไม่นาน ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ก็ก้าวออกมาจากอ่างอาบน้ำที่ทำจากไม้ จากนั้นก็ห่อหุ้มตัวด้วยผ้าก่อนที่จะเดินออกมา

‘เนี่ยลี่’เงยหน้าขึ้น และเหลือบมองไปยัง’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ และรู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ ผมของนางนั้นยังคงเปียกอยู่ และยังมีหยดน้ำอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงผิวสีชมพูที่ผ้าไม่อาจจะคลุมได้มิด รูปร่างอันยั่วยวนของนางยังพอจะมองเห็นได้ลางๆ ด้วยไหล่ที่ดูงดงามรวมไปถึงขาที่เรียวสวยของนาง ‘เนี่ยลี่’นั้นมิอาจที่จะละสายตาได้เลย

สุดท้ายแล้ว หลังจากที่จ้องมอง’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ ‘เนี่ยลี่’ก็ค่อย ๆ หันสายตาออกไปอย่างช้า ๆ

ใบหน้าของ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ ก็กลายเป็นสีแดงเล็กน้อยขณะที่นางพยายามจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นไม่นาน นางก็รู้สึกอายที่จะพูดไปจึงเก็บคำพูดนั้นเอาไว้ หลังจากนั้นนางก็สวมชุดฝึกสีขาวและถอนหายใจเบา ๆ จ้องมองไปยัง’เนี่ยลี่’ นางนั้นไม่อาจที่จะรวบรวมความกล้าได้แม้แต่น้อย

‘เนี่ยลี่’เอง ก็พยายามที่จะเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อที่จะคลายความอึดอัดนี้

“หนิงเอ๋อ ข้านั้นได้หลอมรวมจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้าสำหรับเจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าควรที่จะผสานกับมันก่อน”

“อืม”

‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’เดินมาที่ข้างๆ’เนี่ยลี่’ แม้ว่าใบหน้าของนางนั้นยังคงร้อนผ่าวอยู่

หลังจากที่รับจิตอสูรมาจาก’เนี่ยลี่’ นางก็หลับตาลงและเริ่มทำการผสานเข้ากับจิตอสูร นางสัมผัสได้ถึง จิตอสูรสายเลือดมังกรที่อยู่ใน ศิลาจิตอสูรได้

เมื่อมองดู’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ในชุดฝึก รัดรูปสีขาวนั้น นางช่างดูบริสุทธิ์ และมีเสน่ห์ยิ่งนัก ทำไม’เนี่ยลี่’นั้นจะไม่รู้ว่าในตอนนี้’หนิงเอ๋อ’กำลังคิดสิ่งใด? แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

ขนตาของ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’นั้นขยับ นางรู้สึกเขินอายเมื่อรู้ว่า’เนี่ยลี่’กำลังจ้องมองนางอยู่

ในเวลาต่อมา นางลืมตาขึ้นมา มองดู’เนี่ยลี่’ด้วยดวงตาที่สดใสของนาง และพูดด้วยน้ำเสียงที่เอียงอายว่า

“เนี่ยลี่ถ้าเจ้ายังจ้องมองข้าอยู่เช่นนี้ ข้าคงไม่อาจที่จะสงบใจได้มากพอ ที่จะผสานกับจิตอสูรหรอกนะ ”

‘เนี่ยลี่’ยักไหล่เขายิ้มแล้วก็พูดว่า

“ก่อนหน้านี้ข้านั้นถูกยั่วยวน  ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นใดจึงจะหยุดมองได้?”

หลังคำพูดของ’เนี่ยลี่’ ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ก็เขินอายจนแทบที่จะเอาหน้ามุดลงไปร่องอก แม้ว่านางนั้นจะรู้ดีว่า’เนี่ยลี่’ นั้นแค่เพียงพูดล้อเล่นเท่านั้น แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะบุ้ยปาก ‘เนี่ยลี่’ล้อเล่นแรงเกินไปแล้ว

เมื่อเห็นท่าทีของ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ ‘เนี่ยลี่’ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม

“เจ้าควรที่จะผสานเข้ากับจิตอสูรต่อได้แล้วนะ”

ในตอนที่’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’กำลังผสานเข้ากับจิตอสูร วิหคอัสนีสีชาดศักดิ์สิทธิ์ ‘เนี่ยลี่’ก็เริ่มที่จะทำการหลอมรวมจิตอสูรสำหรับ’เอียจื้ออวิ้น’

ค่ำคืนก็ค่อยๆมืดลงไปเรื่อย ๆ

ณ ตำหนักเมฆาสวรรค์ ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์

ผู้อาวุโสที่มีผมสีขาวโพลนนั่งอยู่อย่างเงียบๆที่นั่น เขามีรูปร่างผอม แต่ก็เต็มไปด้วยลักษณะของผู้มีภูมิปัญญา  รอบๆตัวเขานั้นมีแสงไฟห้าสีโคจรอยู่รอบ ๆกายเขา ในขณะที่เขาแผ่พลังที่อ่อนโยนออกมาราวกับความอบอุ่นของยามแรกอรุณ

 “ท่านอาจารย์”

‘อาจารย์ชิหลิง’ โค้งคำนับเล็กน้อยต่อผู้อาวุโส

ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นอาจารย์ของ’อาจารย์ชิหลิง’ และเป็นหนึ่งในห้าของเสาหลัก ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น อะไรคือสิ่งที่แตกต่างออกไปของ ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ก็คือเขาไม่ค่อยที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์  และวางตัวเป็นกลางอยู่เสมอ

เขานั้นจงรักภักดีต่อผู้นำนิกายเท่านั้น และมักจะสนับสนุนใครก็ตามที่มานั่งในตำแหน่งนี้ ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น นั้นมิได้มีกองกำลังใดๆของตนเอง เขามีเพียงลูกศิษย์ลูกหาจำนวนสามสิบหกคน ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่จะกล้าดูถูกดูแคลนเขา

ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นลืมตาขึ้นมา มองดูอาจารย์ชิหลิง และพูดว่า

“ลูกศิษย์เอ๋ย เหตุใดจึงได้มาจ้องข้าเช่นนั้น?”

อาจารย์ชิหลิงยิ้มอย่างขมขื่น พร้อมกับตอบไปว่า

“หาไม่มีสิ่งใดสำคัญไม่ เมื่อเร็วๆนี้ ในหมู่นักเรียนใหม่ มีอยู่หลายครั้งที่เขาได้แสดงความสามารถที่ดีเยี่ยม  หนึ่งในคุณสมบัติของเขาคือ มีรากวิญญาณฟ้าระดับแปด และยังมีความสามรถด้านอื่นอีกมาก แม้แต่ข้านั้น ก็ไม่อาจที่จะบอกได้ว่า เทคนิคการบ่มเพาะพลังของเขาคือแบบใดกัน”

“โอ้?”

เรื่องนั้นทำให้ ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นรู้สึกสนใจเล็กน้อย

“นอกไปจากนั้นแล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเขาในช่วงการชุมนุมที่ผ่านมาของลูกศิษย์จากสามสำนักใหญ่ ส่วนหนึ่งของงานที่เขาแสดงความโดดเด่นออกมา โดยการบรรจุเจตจำนงค์ของตนเองลงไปในศิลปะสี่แขนง เหยียนหยางจากสำนักอัคคี หมิงเยี่ย วู่ซวงจากสำนักเสียงสวรรค์ และหลงเทียนหมิงจากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาทั้งหมดได้แสดงทักษะของพวกเขา นักเรียนผู้นี้ได้ออกไปแสดงทักษะของเขาหลังจากที่สามคนนั้นได้แสดงฝีมือออกไป ด้วยการเขียนตัวอักษร ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ล้ำลึกยิ่งนัก เหล่าอัจฉริยะที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างนั้นรวมไปถึงหลงเทียนหมิง ไม่อาจที่จะเข้าใจความล้ำลึกของตัวอักษรนั้นได้ และคิดว่าเป็นเพียงการเขียนอักษรธรรมดาเท่านั้น มีเพียงเหยียนหยางและหมิงเยี่ย วู่ซวงเท่านั้น ที่สามารถเข้าใจมันได้ และยอมรับความพ่ายแพ้  ”

ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ได้คิดเกี่ยวกับข่าวที่ได้รับจาก’อาจารย์ชิหลิง’นำมาแจ้ง ตัวอักษรอะไรกันที่นักเรียนผู้นั้นเขียนขึ้นมา จึงทำให้’เหยียนหยาง’และ’หมิงเยี่ย วู่ซวง’ถึงกับยอมรับความพ่ายแพ้ได้

‘เหยียนหยาง’และ’หมิงเยี่ย วู่ซวง’ ทั้งคู่นั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ซึ่งปรมาจารย์เทียนอวิ๋นนั้นก็ทราบดี พวกเขาทั้งคู่นั้นเป็นที่รู้จักและโดดเด่นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ของสำนักอัคคี สำนักเสียงสวรรค์และนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะ’เหยียนหยาง’ เขานั้นมีพรสวรรค์สูงที่สุดในสำนักอัคคี ที่เรียกได้ว่าร้อยปีจะพบเห็นได้สักคนเสียด้วยซ้ำ

 “เขามาจากตระกูลใดในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ?”

ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นเอ่ยถาม ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นนั้นมิได้มีส่วนร่วมใดๆในกิจกรรมภายในของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ เพราะข้อพิพาทภายในเป็นเรื่องร้ายแรงเกินไป ทั้งตระกูลกู้ และตระกูลผนึกมังกร ต่างก็ต้องการที่จะควบคุมนิกาย ทำให้ไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้ ในขณะที่ตระกูลเถ้าอัคคี

แม้ว่าพวกเขาจะยังคงเงียบสงบอยู่ แต่พวกเขาจักต้องมีแผนของตนเองอยู่เป็นแน่ ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เพราะไม่อาจที่จะทำอะไรได้มากกว่านั้น เขารู้สึกละอายใจยิ่งนัก โดยไม่คำนึงว่าเนี่ยลี่นั้นอยู่ในตระกูลใด เขาจักต้องกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการต่อสู้เป็นแน่

“เด็กคนนั้นมาจากโลกใบเล็ก และยังมิได้เข้าร่วมกองกำลังใดๆในตอนนี้ นอกจากนี้ เขายังได้ประกาศไว้อีกว่า ก่อนที่จะจบการศึกษาจากสถาบันวิญญาณฟ้า เขาจะไม่เข้าร่วมกองกำลังใดๆ  แต่ถึงอย่างไร ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะรักษาคำพูดนี้ได้นานสักเท่าใด”

อาจารย์ชิหลิงตอบ เขานั้นตระหนักถึงนิสัยใจคอของ ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงบอกทุกสิ่งทีเขารู้เกี่ยวกับเนี่ยลี่ ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น มักจะให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่เข้าร่วมกับตระกูลใด

“โอ้ โลกใบเล็กงั้นเหรอ?”

‘ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น’ รู้สึกใจสั่นไหว ในตอนที่เขาได้ยินว่าโลกใบเล็ก เขานั้นได้คิดถึงใครบางคน หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วเวลาหนึ่ง เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ในเมื่อเขานั้นมิได้เต็มใจที่จะเข้าร่วมกับตระกูลใดๆ เขาจักต้องได้รับแรงกดดันมิใช่น้อย ส่งคำทักทายของข้าไปให้กับตระกูลหลักทั้งสาม  และบอกกับพวกเขาว่าข้ากำลังจับตาดูเด็กคนนี้อยู่ และต่อจากนี้ไปห้ามให้พวกเขาไปรบกวนเด็กคนนี้อีก ด้วยวิธีการเช่นนี้จะทำให้เด็กคนนั้นรุดหน้าไปได้มาก   ข้าจะจับตาดูเขาเอง”

“ครับ!”

อาจารย์ชิหลิง ตอบกลับด้วยความเคารพ

แม้ว่าปรมาจารย์เทียนอวิ๋น จะมิได้มีส่วนร่วมในความขัดแย้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาก็ยังคงเป็นหนึ่งในห้าเสาหลัก ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้นับตั้งแต่ที่เขาประกาศตัวว่าเป็นกลางนั้น ทั้งสามตระกูลนั้นก็ยังคงไว้หน้าเขาอยู่ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครที่คิดจะยั่วยุกับผู้มีอำนาจเป็นแน่

ในตอนที่อาจารย์ชิหลิง กำลังเอ่ยลานั้น ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นก็พูดขึ้นมาว่า

“นอกจากนี้ จงไปหาเขาและนำตัวอักษรของเขามาให้ข้า ข้าอยากจะลองดูว่ามีสิ่งที่ล้ำลึกใดอยู่ในตัวอักษรจริงหมือไม่! ”

แม้แต่ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ก็ยังให้ความสนใจ’เนี่ยลี่’เช่นนั้นหรือ?

อาจารย์ชิหลิงรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่ถึงอย่างไร ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นก็เป็นถึงยอดฝีมือระดับเทพสงคราม  แม้แต่เขายังให้ความสนใจกับตัวอักษรของเนี่ยลี่ ซึ่งจุดนี้เขาจึงต้องไปขอให้เนี่ยลี่คัดลอกไปให้แก่ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น

 “ได้ครับ ท่านอาจารย์”

‘อาจารย์ชิหลิง’ โค้งคำนับและเดินจากไป

ค่ำคืนได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และรุ่งอรุณของวันใหม่ก็มาถึง

‘เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’เดินออกมาจากห้องพัก ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’นั้นได้ทำการผสานเข้ากับจิตอสูรเรียบร้อยแล้ว และสัมผัสได้ถึงพลังใหม่ที่แฝงอยู่ในจิตอสูรได้ จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า ไร้ซึ่งข้อกังขาใดๆ ถึงความแข็งแกร่งของมัน

‘ลู่เพียว’ ออกมาจากห้องพักของเขา เมื่อได้เห็น’เนี่ยลี่’ เขาวิ่งมาหาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เสียงของเขานั้นสั่นสะท้าน

“เนี่ยลี่ เซี่ยวซุ่ย นาง…”

“เกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยวซุ่ย?”

‘เนี่ยลี่’จ้องมอง’ลู่เพียว’ขณะที่เขาถาม และเขาสังเกตุถึงรอยฟกช้ำบนใบหน้าของ’ลู่เพียว’ แม้ว่ามันจะถูกทายามาแล้วบ้าง แต่รอยช้ำก็ยังไม่ค่อยหายไปสักเท่าใด

 “เซี่ยวซุ่ย ให้ข้านั้นสัมผัส…”

‘ลู่เพียว’นั้นดูตื่นเต้นยิ่งนักตอนที่เห็นหน้าของ’ลู่เพียว’ ใบหน้าของ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ก็เริ่มที่จะมีสีแดงเล็กน้อย

 “สัมผัสอะไร ถ้าหากว่าเจ้าได้สัมผัส แล้วสิ่งที่เจ้านั้นได้สัมผัสหล่ะ! ”

‘เนี่ยลี่’ยิ้มอย่างขมขื่น นี่เป็นความตื่นเต้นจากการแค่ได้สัมผัสเช่นนั้นหรือ?

‘ลู่เพียว’ รู้สึกว่าจะเขินอายเล็กน้อย กับความสุขที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา

“ในที่สุดนางก็ยอมอนุญาตให้ข้านั้นได้สัมผัสกับมือของนางแล้ว”

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของ’ลู่เพียว’ ตาของ’เนี่ยลี่’ก็ขยายขึ้นในขณะที่จ้องมอง’ลู่เพียว’

‘ลู่เพียว’รีบวิ่งมาหาเขาด้วยความตื่นเต้น เพียงแค่จะบอกกับเขาว่า ‘เซี่ยวซุ่ย’นั้นอนุญาตให้เขาสามารถสัมผัสมือของนางได้เท่านั้นเหรอ? ‘เนี่ยลี่’ตบไปบนหัวของ’ลู่เพียว’พร้อมกับตำหนิว่า

“งี่เง่า เรื่องแค่นั้นมันน่าตื่นเต้นตรงไหนกัน? มันก็แค่การจับมือ!”

‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’อดไม่ได้ที่จะปิดปากของนางและยิ้มหลังจากที่ได้ยินคำพูดของ’เนี่ยลี่’

‘เนี่ยลี่’เอาแขนไปโอบคอลู่เพียวและกระซิบข้างหูของเขา

“จริงเหรอ?”

ดวงตาของ’ลู่เพียว’เบิกโพลงขึ้นขณะที่เขามองไปยัง’เนี่ยลี่’

“นี่ไม่ได้หลอกข้าใช่ไหม!”

‘เนี่ยลี่’พยักหน้าตอบ ด้วยสีหน้าจริงจัง

“แน่นอน ข้ามิได้หลอกเจ้าแน่”

‘ลู่เพียว’พังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาเดินกลับไปพร้อมทำหน้าอย่างจริงจัง เขาแสดงท่าทางออกมาราวกับว่ากำลังจะเดินไปสู่ความตาย ขณะที่เขากำลังเดินกลับไปที่ห้องพักของเขา ที่’เซี่ยวซุ่ย’นั้นนอนพักอยู่

แปลโดย นายมะพร้าว

คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ

ที่มา:

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments