I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 391 灵空璧 กำแพงวิญญาณที่ว่างเปล่า

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

พวกเขาเดินไปข้างหน้าอีกหลายร้อยหมี่ เมตร และในที่สุดก็ไปถึงบันใด ที่ทอดยาวขึ้นไปพวกเนี่ยลี่ทั้งสามคนเดินขึ้นไปตามบันได
ไปยังห้องโถงใหญ่ที่งดงาม

ห้องโถงนี้มีความกว้างหลายร้อยหมี่ เป็นพื้นที่กว้างไม่มีเสาหินแม้สักต้น และที่ตรงปลายอีกด้านของห้องโถงมีภาพจิตรกรรมเป็นอสูรร้ายที่น่าเกลียดน่ากลัว และรูปมนุษย์ที่ดูแข็งแกร่งกำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรง ตรงพื้นหลังเป็นท้องฟ้าที่ไร้ที่สิ้นสุด มีดวงดาวที่ราวกับว่าเป็นดวงตาที่กำลังจับจ้องอยู่

‘เนี่ยลี่’จ้องมองไปยังรูปภาพดังกล่าว หาใช่รูปสัตว์อสูร หรือมนุษย์ ที่ดึงดูดความสนใจของเขา เขาสงสัยเกี่ยวกับรูปดวงตาบนท้องฟ้า ดวงตาคู่นั้น ราวกับเป็นการคงอยู่ของ กษัตริย์ของเหล่าทวยเทพ

แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ภาพวาดเท่านั้น ‘เนี่ยลี่’กลับรู้สึกกดดันจนแทบจะหายใจไม่ออก

ถึงจักเป็นแค่เพียงรูปวาดของดวงตาเท่านั้น แต่’เนี่ยลี่’ก็รู้ได้ทันทีว่า นั่นคือจักรพรรดิปราชญ์

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า จักรพรรดิปราชญ์นั้นมิได้แข็งแกร่งที่สุด แต่หลายพันหมื่นปีที่ผ่านมา 千万年 พันหมื่นปี=สิบล้านปี มียอดฝีมือมากมายที่ท้าทายอำนาจของจักรพรรดิปราชญ์ และไม่มีผู้ใดที่จักทำได้สำเร็จ พวกเขาต่างก็ถูกจักรพรรดิปราชญ์ทำให้หายสาปสูญไป

ในตอนนี้นับได้ว่าเราอยู่ภายใต้การควบคุมของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในพื้นที่และห้วงเวลาที่ไม่มีสิ้นสุด ไม่มีผู้ใดที่จักสั่นคลอนอำนาจของจักรพรรดิปราชญ์ได้เลย

ในชีวิตที่ผ่านมาของ’เนี่ยลี่’ หลังจากการล่มสลายของดินแดนบรรพชนแห่งเทพ จักรพรรดิปราชญ์ก็ได้เริ่มสังหารผู้ที่เป็นสี่เสาหลัก
ผู้คนในอาณาจักรซากมังกรถูกสังหารจนเหลือเพียงไม่กี่แสนชีวิต มียอดฝีมือจากทั่วทุกทิศมารวมตัวกัน

เพื่อต้องการที่จะจัดการกับจักรพรรดิปราชญ์ แต่ทั้งหมดก็ถูกสังหารไป และมีเพียงแค่’เนี่ยลี่’เท่านั้น ที่สามารถทำลายขีดจำกัดของมนุษย์ จนมีอำนาจที่ท้าทายสวรรค์ได้ แม้ว่าพอที่จะรับมือจักรพรรดิปราชญ์ได้ แต่สุดท้ายเขาก็ตายด้วยน้ำมือของจักรพรรดิปราชญ์อยู่ดี

ถ้าหากว่าเขาไม่มีตำราจิตอสูรท่องเวลา ‘เนี่ยลี่’ก็คงเป็นเถ้าธุลีล่องลอยไปแล้ว

“สายตาพวกนั้นมันคืออะไรกัน? เพียงแค่จ้องมองก็รับรู้ได้ถึงความกดดันที่น่ากลัว ราวกับมีเข็มนับพันหมื่นเล่ม ทิ่มแทงเข้าไปในร่างกาย”

‘เซี่ยวหยู่’เอ่ยถาม’เนี่ยลี่’

“เจ้าหมายถึงดวงตาคู่นั้นสินะ? มันเป็นดวงตาของเทพบรรพชนที่ยิ่งใหญ่”

‘อู๋หยาจื่อ’ยิ้มและตอบกลับไป

“การควบคุมดินแดนบรรพชนแห่งเทพของเขาเป็นจุดสูงสุดของเผ่าอสูรของพวกเรา พวกเราให้การเคารพบูชาเขาเป็นอย่างมาก ไม่มีมนุษย์เช่นพวกเจ้าคนไหน ที่จักสามารถท้าทายกับเทพบรรพชนที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราได้!”

‘เนี่ยลี่’ถึงกับขมวดคิ้ว เผ่าอสูรเคารพบูชาจักรพรรดิปราชญ์ ทั้งที่จักรพรรดิปราชญ์นั้นหาได้สนใจใยดีเผ่าอสูรเลยสักนิด เผ่าอสูรก็แค่เป็นเครื่องมือของจักรพรรดิปราชญ์ก็เท่านั้น แต่ถึง’เนี่ยลี่’จักพูดเรื่องนี้ออกไป พวกเผ่าอสูรก็คงไม่มีทางที่จะเชื่อเขาเป็นแน่

แค่เขาไม่รู้เลยว่าทำไม จึงมีภาพจิตกรรมนี้อยู่ที่ผนังของตำหนักซีอิงเสิ่น

หลังจากที่เขาคิดถึงสิ่งที่จักรพรรดิปราชญ์ได้ทำลงไป ‘เนี่ยลี่’กำหมัดจนแน่นจนเส้นเลือดปูดออกมา การที่จะท้าทายอำนาจของจักรพรรดิปราชญ์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

นับจากนี้ไปสองร้อยปี’เนี่ยลี่’จักค่อย ๆ ดำเนินการตามแผนที่วางไว้อย่างช้า ๆ จักไม่รีบร้อนที่จะไปท้าทายอำนาจของจักรพรรดิปราชญ์ดั่งในชีวิตที่แล้ว

ที่ใจกลางห้องโถงใหญ่ มีแผ่นหยกแก้วที่ดูราวกับเป็นกำแพง ดูแล้วเป็นเงา มันส่องแสงประกายหลายแสงอย่างงดงาม

ใกล้ ๆ แผ่นกำแพงหยกแก้ว มียอดฝีมือนับร้อยคน พวกเขานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น และจ้องมองไปที่แผ่นกำแพงหยกแก้วที่อยู่ตรงหน้า แต่ละคนมีสีหน้าที่ขบคิดอยู่ไม่น้อย

“แล้วมีคนอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมากได้เช่นใด?”

‘อู๋หยาจื่อ’รู้สึกสงสัยยิ่งนัก

เหล่ายอดฝีมือที่นั่งอยู่บนพื้น อยู่ในระดับดาราสวรรค์ แก่นแท้แห่งสวรรค์ แม้แต่ระดับวิถีแห่งมังกรก็มี แต่’อู๋หยาจื่อ’ก็ไม่รู้ว่าทำไม
พวกเขาจึงต้องมานั่งทำหน้าครุ่นคิด อยู่ตรงหน้าแผ่นกำแพงหยกแก้วนี้

“พวกคนเหล่านี้มาที่นี่ได้อย่างไร?”

‘เนี่ยลี่’เองก็สงสัยไม่น้อย ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเหล่านี้ อาจจะเข้ามาที่นี่ก่อนที่พวกเขาจะทำลายค่ายกล หลังจากที่พวกเขาเข้ามาที่นี่ได้ พวกเขาก็ยังคงอยู่ตรงนี้ และครุ่นคิดอยู่ตรงหน้าแผ่นกำแพงหยกแก้วนี้

แผ่นกำแพงหยกแก้วนี้ มันคือ กำแพงวิญญาณที่ว่างเปล่า มีเพียงผู้ที่ทำลายปริศนาบนกำแพงนี้ได้ จักสามารถเข้าไปยังตำหนักซีอิงเสิ่นที่แท้จริงได้

พวก’เนี่ยลี่’ทั้งสามคนเดินเข้าไปใกล้ ๆ กำแพงหยกแก้ว พวกเขาเดินเข้าไปจนถึงระยะห้าสิบหมี่ การบ่มเพาะพลังของพวกเขาหาได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แต่ว่าพวกเขาไม่อาจที่จะทำการรวบรวมพลังสวรรค์ได้เลย ราวกับว่ามันถูกแช่แข็งไปเลยทีเดียว

ถ้าหากพวกเขาเข้าไปใกล้กำแพงหยกแก้ว มากกว่านี้ พวกเขาจักต้องสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปเป็นแน่

จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า มนุษย์กับพวกเผ่าอสูรที่แข็งแกร่งอยู่รวมกันที่นี่ อย่างสงบและไม่มีการต่อสู้เลย

เมื่อเห็นทั้งสามคนที่มาใหม่ เหล่ายอดฝีมือก็แค่เงยหน้ามาดูแค่เล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่จะหันไปมองและทำความเข้าใจในแผ่นกำแพงหยกแก้ว เช่นเดิม

‘อู๋หย่าจื่อ’ประหลาดใจยิ่งนัก อะไรคือสิ่งที่ทำให้เหล่ายอดฝีมือพวกนี้นั่งอยู่ที่นี่ได้?

‘อู๋หยาจื่อ’นั่งลงขัดสมาธิด้วยทันที และเงยหน้ามองแผ่นกำแพงหยกแก้ว เขาเริ่มที่จะเห็นร่องรอยอักษรจารึกลึกลับ ที่อยู่บนผิวหน้าของมัน ตลอดจนอาคมต่างๆ จริงๆแล้วเขานั้นหาได้เป็นคนที่สนใจพวกอาคมต่าง ๆมากนัก แต่สิ่งนี้กลับดึงดูดความสนใจของเขาเป็นอย่างมาก

หรือว่าแผ่นกำแพงหยกแก้วนี้ จักบันทึกการบ่มเพาะพลังที่ลึกลับเอาไว้?

ทันใดนั้น’อู๋หยาจื่อ’เขาก็จมดึ่งเข้าไปถึงความนึกคิดแห่งเทพ และจับจ้องไปที่แผ่นกำแพงหยกแก้ว

ท่าทีที่เปลี่ยนไปของ’อู๋หยาจื่อ’ ทำให้’เนี่ยลี่’รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็นั่งลงขัดสมาธิ และทำการไตรตรองกำแพงวิญญาณที่ว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้า

‘เซี๋ยวหยู่’ก็นั่งลงที่ข้างๆ’เนี่ยลี่’นั่นเอง

ชายหนุ่มจากเผ่าอสูรมองมาที่พวกเขาสามคนและเอ่ยถาม’เนี่ยลี่’ว่า

“พวกเจ้ามาจากนิกายใดกัน? ข้ามิได้เห็นคนจากเผ่าอสูรเข้ามาในนี้ เป็นเวลานานแล้ว ข้าไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเวลาผ่านไปกี่ปีแล้ว ”

ชายหนุ่มจากเผ่าอสูร นั้นเข้าใจผิดว่า’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’เป็นคนจากเผ่าอสูร เนื่องจากพวกเขายังคงแปลงรูปลักษณ์อยู่

“พวกข้ามาจากนิกายเทพอสูร”

‘เนี่ยลี่’ตอบกลับไป เนื่องจากพวกเขายังคงรูปลักษณ์อสูรอยู่

“ข้าเองก็มาจากนิกายเทพอสูรเช่นกัน!”

ชายหนุ่มจากเผ่าอสูร พูดอย่างตื่นเต้น

“ท่านนั่งอยู่ต่อหน้าแผ่นกำแพงหยกแก้วนี้มานานเท่าใดแล้ว?”

‘เนี่ยลี่’เอ่ยถามชายหนุ่มจากเผ่าอสูร

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่านานเท่าใด อย่างน้อย ๆ ก็น่าราวหกปี น่าเสียดายที่ข้านั้นโง่เขลานัก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจที่จะเข้าใจแผ่นกำแพงหยกแก้วนี้ได้ทั้งหมด”

ชายหนุ่มจากเผ่าอสูรตอบพร้อมกับถอนหายใจ

“แต่ความคืบหน้าในการบ่มเพาะพลังถือว่ารวดเร็วยิ่งนัก ตอนแรกข้านั้นอยู่เพียงระดับแก่นแท้แห่งวิญญาณขั้นที่หนึ่ง ในตอนนี้ข้านั้นบรรลุขั้นที่สามแล้ว”

การที่หกปีนั้นสามารถบรรลุระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ได้ถึงสองระดับ นับว่ารวดเร็วยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยว่าชายหนุ่มจากเผ่าอสูรจึงอยู่ที่นี่ได้ถึงหกปี และยังไม่คิดจะออกไป

ไม่เพียงแค่ชายหนุ่มจากเผ่าอสูรนี้เท่านั้น รวมถึงคนอื่น ๆ ก็ไม่คิดที่จะออกไปเช่นกัน

“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่มีนามว่าอันใดกัน?”

‘อู๋หยาจื่อ’ ละสายตาจากแผ่นกำแพงหยกแก้ว แล้วเอ่ยถาม

“เจิ่นหยวน 真源”

ชายหนุ่มจากเผ่าอสูรยิ้มและตอบกลับไป

“ศิษย์พี่เจิ่นหยวน ท่านพอจะอธิบายได้หรือไม่ว่าแผ่นกำแพงหยกแก้วนั่นคืออะไรกันแน่?”

‘อู๋หยาจื่อ’แกล้งถามเพื่อทดสอบเขา ว่าเขานั้นได้ค้นพบสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในแผ่นกำแพงหยกแก้วหรือไม่ เขาต้องการที่จะสอบถามก่อนที่จะไตร่ตรองดูเองอีกครั้ง เพื่อที่จะได้มุ่งไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง

“เท่าที่ข้ารู้เบื้องต้นนั้น มันอาจจะเป็นเทคนิคการบ่มเพาะพลังลึกลับของเจ้าของตำหนักซีอิงเสิ่นแห่งนี้ ถ้าเจ้านั้นสามารถที่จักเข้าใจได้สัก หนึ่ง หรือสอง ในสิบส่วน เจ้าก็จักกลายเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งได้”

‘เจิ่นหยวน’อธิบายพร้อมกับถอนหายใจ

“ข้าขบคิดถึงสิ่งที่มันซ่อนเร้นอยู่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่เลื่อนระดับจาก แก่นแท้แห่งสวรรค์ขั้นที่หนึ่ง จนบรรลุขั้นที่สามเท่านั้น ถ้าข้าสามารถที่จะเข้าใจได้มากกว่านี้ก็คง………”

เมื่อได้ยินคำพูดของ’เจิ่นหยวน’ ‘อู๋หยาจื่อ’ก็รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มันก็วิเศษไปเลย

‘อู๋หยาจื่อ’ไม่รู้ว่าเจ้าของตำหนักซีอิงเสิ่นแห่งนี้ ก่อนที่เขาจักดับสูญไป เขานั้นอยู่ในระดับใดกันแน่แต่จักต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากเป็นแน่ เพราะการที่จะเหลือเทคนิคการบ่มเพาะพลังเช่นนี้ไว้ได้ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายเลย………..

จบตอน

แปลโดย นายมะพร้าว

คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ

ที่มา:

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments