ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปดวงตาของโอรสศักดิ์สิทธิ์’หลีหั่ว’ เป็นกระกายให้เห็นถึงความเย็นชา เขาจ้องมองไปที่ ‘เหยียนหยาง’ และพูดขึ้นมาอย่างแข็งกร้าวว่า
“วันนี้ข้ามิได้ต้องการอะไรมาก เหยียนหยาง เจ้าจงให้คนของเจ้าออกไปจากที่นี่ แล้วข้ารับปากว่าจะปล่อยพวกเจ้าไป ถ้าไม่เช่นนั้น เจ้าและคนของเจ้า คงจะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่แล้ว!”
‘เหยียนหยาง’ยักคิ้วท้าทายและพูดตอบกลับไปว่า
“โอรสศักดิ์สิทธิ์ หลีหั่ว แม้ว่าความแข็งแกร่งของข้านั้นอาจจะด้อยกว่าเจ้า แต่ข้าเองก็เป็นศิษย์ของสำนักเทพอัคคี ข้าหาได้เป็นคนที่ขี้ขลาดไม่ ถ้าหากว่าไม่อาจยุติปัญหานี้ได้ และพวกเจ้านิกายเทพอสูรหากคิดที่จะเข่นฆ่ากัน หล่ะก็ ข้าและศิษย์ของสำนักเทพอัคคีก็พร้อมจะรับมือพวกเจ้าเสมอ!”
“ก็ดี! ข้าเองก็ต้องการที่จะเห็นฝีมือของศิษย์นิกายเทพอัคคี ว่าจะเก่งกาจสักเพียงไหน!”
โอรสศักดิ์สิทธิ์ ‘หลีหั่ว’แผ่ลมปราณพุ่งตรงไปยัง’เหยียนหยาง’
‘เหยียนหยาง’ตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว เขาผสานร่างเข้ากับจิตอสูรทันที ร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็น อสูรมังกรเขาทองคำ ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีทอง ที่แผ่ลมปราณอันน่าเกรงขามออกมา
“ต่อหน้าข้า เจ้ายังกล้าที่จะผสานเข้ากับจิตอสูรเช่นนั้นเหรอ!”
ดวงตาของโอรสศักดิ์สิทธิ์’หลีหั่ว’เต้มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ความแข็งแกร่งของมนุษย์เมื่อเทียบกับอสูรนั้นแตกต่างกันยิ่งนัก ดังนั้นพวกมนุษย์จึงได้คิดค้นวิธีอันน่ารังเกียจ โดยการสังหารอสูร และผนึกไว้ในร่างกายของตนเองเพื่อที่จะได้ใช้พลังนั้น
นับตั้งแต่ที่มนุษย์ได้เริ่มมีร่างทรงอสูรเกิดขึ้น เผ่าอสูรก็สาบานว่าจะต้องล้างแค้นพวกมนุษย์ สงครามก็เริ่มที่จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น แต่ละเผ่าพันธุ์ก็คิดแต่ที่จะกวาดล้างอีกฝ่ายให้หมดสิ้นไป
ร่างกายของโอรสศักดิ์สิทธิ์’หลีหั่ว’ ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ ผิวของเขาเป็นสีแดงชาดที่ดูสะดุดตายิ่งนัก คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย ลมปราณเปลวไฟค่อย ๆ แทรกเข้าไปในร่างกายของเขาจนลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วร่างของทั้งสองคนก็หายไปในทันที โอรสศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง กลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าหากัน
ตูมม!
ตูมม! ตูมม!
แสงของการประทะกันเป็นประกาย บนท้องฟ้าที่ว่างปล่าวราวกับว่าถูกฉ๊กออกเป็นชิ้น ๆ
“สมแล้วที่ได้ถูกขนานนามว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเทพอสูรและสำนักอัคคีสวรรค์ พวกเขาประทะกันอย่างรวดเร็ว ราวกับประกายของสายฟ้า”
‘อู่หยาจื่อ’พูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ ความแข็งแกร่งของเขาเมื่อเทียบกับ โอรสศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง มีความห่างชั้นมากเกินไป
ยอดฝีมือที่ประทะกันตรงส่วนอื่นก็ยังคงมีเช่นกัน แต่ก็ไม่มีผู้ใดเข้าไปใกล้กับ การต่อสู้ของโอรสศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง เพราะช่วงเวลาที่ โอรสศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเข้าปะทะกัน พวกเขาอาจจะถูกโจมตีจนถึงแก่ชีวิตได้ทันที และยิ่งต่อสู้กันนานเท่าใด ความรุนแรงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
‘เนี่ยลี่’ขมวดคิ้ว เขาเคยพบกัน’เหยียนหยาง’มาแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของ’เหยียนหยาง’ การที่จะชนะ โอรสศักดิ์สิทธิ์’หลีหั่ว’ นั้นเป็นเรื่องที่ยากเกินไป แต่ในทางกลับกัน หากโอรสศักดิ์สิทธิ์ ‘หลีหั่ว’ต้องการที่จะสังหาร’เหยียนหยาง’นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากพวกเขายังคงปะทะกันอยู่เช่นนี้ ด้วยการต่อสู้อันรุนแรง การที่’เนี่ยลี่’คิดจะเข้าไปทำลายค่ายกลจารึกก็เป็นเรื่องที่ลำบากยิ่งนัก
“เนี่ยลี่ พวกเราควรจะทำเช่นใดกันต่อ?”
‘เซี่ยวอยู่’และ’อู๋หยาจื่อ’อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ข้าจะทำอะไรได้ในตอนนี้?”
‘เนี่ยลี่’ตอบกลับไปพร้อมกับหลับตา และเริ่มทำการบ่มเพาะพลัง เพื่อที่จะทำให้บรรลุถึงระดับดาราสวรรค์
เมื่อได้เห็นสิ่งที่เนี่ยกระทำ’อู๋หยาจื่อ’ก็ทำได้เพียงแต่ยิ้มอย่างขมขื่น แม้กระทั่งในเวลาเช่นนี้’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’ ยังสามารถทำการบ่มเพาะพลังได้อย่างสงบ แต่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะเขาต้องคอยคุ้มกันให้’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’
ในขณะที่’เหยียนหยาง’และ’หลีหั่ว’สู้กันอย่างดุเดือดนั้น ก็มีคนกลุ่มหนึ่งทะยานเข้ามา และเตรียมเข้าร่วมการต่อสู้ พวกเขาก็คือ ‘เสิ่นเหลย โม๋จุน’ จากสำนักห้าอสูรสายฟ้า
“โอ้ ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นการต่อสู้ของโอรสศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง ช่างน่าสนุกยิ่งนัก”
‘เสิ่นเหลย โม๋จุน’ พูดขึ้นมา ถ้าหากนับความอาวุโสแล้ว เขานั้นควรจะได้รับการเคารพจาก โอรสศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง
‘เหยียนหยาง’และ’หลีหั่ว’ คงไม่หยุดการปะทะกัน และจู่โจมกันอย่างต่อเนื่อง
“เสิ่นเหลย โม๋จุน พวกเราต่างก็เป็นอสูร และสำนักห้าอสูรสายฟ้าก็เป็นหนึ่งในสามสำนักอสูร ที่อยู่ในดินแดนแห่งบรรพชนนี้ หากเจ้าช่วยข้าสังหารคนของสำนัคเทพอัคคี ผลึกแก้วแห่งคงคาที่อยู่ตรงนี้ จะเป็นของเจ้าทั้งหมด เจ้าจะคิดเห็นเช่นใด?”
‘หลีหั่ว’ใช้ช่องว่างในช่วงเวลาที่ปะทะกับ’เหยียนหยาน’ พูดจาต่อรองกับ’เสิ่นเหลย โม๋จุน’
‘เสิ่นเหลย โม๋จุน’ หัวเราะและตอบกลับไปว่า
“โอรสศักดิ์สิทธิ์ หลีหั่วคิดจะทำการต่อรองเพื่อยืมมือข้าเช่นนั้นหรือ มิใช่ว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์ หลีหั่ว เป็นผู้ที่ชอบทำอะไรแต่เพียงผู้เดียวหรอกหรือ? เหตุใดจึงคิดจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเช่นนี้?”
หลังจากการปรากฏตัวของ’เสิ่นเหลย โม๋จุน’ ‘เหยียนหยาง’ก็รู้สึกกังวลไม่น้อย ทำให้เกิดช่องโหว่เล็กน้อยจากการเคลื่อนไหว ‘หลีหั่ว ‘จึงสบโอกาสกระแทกเข้าตรงหน้าอกของ’เหยียนหยาง’ ทำให้’เหยียนหยาง’ถึงกับกระเด็นถอยหลังออกไป
‘เหยียนหยาง’กระอักเลือดออกมาเล็กน้อย พลังของ’หลีหั่ว’รุนแรงยิ่งนัก เดิมทีเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะจัดการกับเขาไหน
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าถ้าหากมี’เสิ่นเหลย โม๋จุน’ เข้ามาร่วมด้วยจะเป็นเช่นใด“ปัญหาของนิกายเทพอสูรและสำนักเทพอัคคีนั้น ข้าไม่ต้องการที่จะไปก้าวก่าย ส่วนเรื่องสมบัติในตำหนักซีอิงเสิ่น ผลึกแก้วแห่งคงคาที่อยู่ในมือของข้าตอนนี้ ก็มีกว่าหกหมื่นชิ้นแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็อยู่หนึ่งในหกของผู้ที่ได้ครอบครองมากที่สุด และก็จะต้องได้รับสมบัติที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่แล้ว เรื่องของพวกเจ้าทั้งสอง ก็จงตัดสินกันเอาเอง”
‘เสิ่นเหลย โม๋จุน’ พูดอย่างไม่ได้สนใจอะไร
โอรสศักดิ์สิทธิ์’หลีหั่ว’ รู้สึกคับแค้นยิ่งนัก เขารู้ว่า ‘เสิ่นเหลย โม๋จุน’ นั้นเป็นคนเช่นใด ‘เสิ่นเหลย โม๋จุน’ นั้นเป็นคนที่น่ารังเกียจ และฉาวโฉ่ยิ่งนัก การที่เขาไม่ต้องการเข้ามายุ่งเกี่ยวในตอนนี้ เพราะเขาคาดหวังว่าจะรอให้ตัวเขา’หลีหั่ว’หรือ ‘เหยียนหยาง’ พ่ายแพ้ไปก่อน แล้วค่อยรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทีหลัง เขาเหลือบมองไปที่’เหยียนหยาง’ แม้ว่า’เหยียนหยาง’จะได้รับบาดเจ็บ เขาก็ไม่ได้เข้าไปจู่โจมซ้ำ
“ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ คิดจะมาประมือกับข้า มันยังเร็วเกินไป ในครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป!”
โอรสศักดิ์สิทธิ์ ‘หลีหั่ว’ พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง
‘เหยียนหยาง’มองไปที่’หลีหั่ว’ จากนั้นก็ชำเลืองมองไปที่ ‘เสิ่นเหลย โม๋จุน’ เขารู้ว่าต่อให้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ ก็เป็นการแสวงหาความตายเช่นกัน เขาได้ไปรวมกลุ่มกับศิษย์ของนิกายเทพอัคคี และคอยสังเกตุการณ์อยู่ห่าง ๆ
‘เสิ่นเหลย โม๋จุน’ถึงกับขมวดคิ้ว เขาไม่คิดเลยว่า ‘หลีหั่ว’ จะยุติการต่อสู้เพียงเท่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่คนภายนอกพูดเอาไว้ โอรสศักดิ์สิทธิ์ ‘หลีหั่ว’เป็นคนที่รับมือได้ยากยิ่งนัก ดูท่าจะเป็นดั่งที่คนเขาพูดกัน ‘เสิ่นเหลย โม๋จุน’ ยิ้มและพูดออกไปว่า
“ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับสมบัติที่ซุกซ่อนอยู่ในตำหนักซีอิงเสิ่นนี้ เกรงว่าจะมีเพียงพวกเราทั้งสามเท่านั้น แล้วเหตุใดพวกเราทั้งสามจึงไม่มาร่วมมือกัน เพื่อที่จะเอาสมบัติไปทั้งหมดกันเล่า?”
มุมปาก’เหยียนหยาง’กระตุกเล็กน้อย เข้านั้นไม่มีทางที่จะร่วมมือด้วยไม่ว่าจะเป็นนิกายเทพอสูร หรือว่า สำนักห้าอสูรสายฟ้า!
“ถ้าหากพวกเจ้าสนใจผลึกแก้วแห่งคงคา ก็เชิญแย่งชิงกันเอาเอง ในตอนนี้ข้านั้นหาได้สนใจผลึกแก้วแห่งคงคาไม่!”
โอรสศักดิ์สิทธิ์’หลีหั่ว’ ตอบกลับไป พร้อมกับเดินทางไปพื้นที่ ที่ว่างเปล่า และค่อย ๆ เดินไป ‘เสิ่นเหลย โม๋จุน’ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘หลีหั่ว’ คิดจะทำสิ่งใดกันแน่?
‘เนี่ยลี่’รีบลืมตาขึ้นมา เขามองไปยัง โอรสศักดิ์สิทธิ์ ‘หลีหั่ว’ หรือว่า’หลีหั่ว’ผู้นี้ จะรู้ความลับของค่ายกลจารึกอยู่ที่นี่แล้ว?
โอรสศักดิ์สิทธิ์’หลีหั่ว’ชำเลืองมองไปที่’เนี่ยลี่’ ราวกับรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง ดวงตาอสูรสีเขียวที่จับจ้องมาอย่างเป็นประกาย ‘เนี่ยลี่’รีบหลบสายตาอย่างรวดเร็ว หวังว่า’หลีหั่ว’คงจะไม่รู้ว่าเขานั้นได้รับการสังเวยเลือดอสูร ถ้าไม่เช่นนั้นจะต้องเกิดเรื่องอันตรายขึ้นเป็นแน่
‘หลีหั่ว’มองไปที่’เนี่ยลี่’แค่ครู่เดียวจากนั้นก็ละสายตากลับไป และเงยหน้ามองรูปปั้น และดูเหมือนว่าจะสรุปอะไรบางอย่างได้
ในตอนแรก’เสิ่นเหลย โม๋จุน’ นั้นคิดที่จะเตรียมต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลึกแก้วแห่งคงคา แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่า ‘หลีหั่ว’ จะมิได้สนใจพวกมันเลยแม้แต่น้อย ‘เหยียนหยาง’ก็มิได้เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ ‘เสิ่นเหลย โม๋จุน’ รู้สึกน่าเบื่อไม่น้อย แต่ก็รับรู้ได้ว่ามีอะไรที่ผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด
‘เหยียนหยาง’ก็ยังคงจับจ้องไปที่’หลีหั่ว’ เขาจับจ้องดูและดูเหมือนว่าจะเข้าใจแล้วว่า ถ้า’เสิ่นเหลย โม๋จุน’ ต้องการ ผลึกแก้วแห่งคงคา เขาก็คงต้องไม่ไปแตะต้องมันเป็นอันขาด
ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ในตอนนี้ เริ่มอยู่ในความสมดุลอันละเอียดอ่อน ที่ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย……………..
จบตอน
แปลโดย นายมะพร้าว
คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ
ที่มา: