ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปหลังจากที่แสงสีแดงเข้าไปด้านในจิตกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำไม่นาน
ครืนน!
ครืนน! ครืนน!
เป็นเสียงที่ดังราวกับแผนดินแยก ภูเขาถล่มเลยทีเดียว
มันเป็นสัญญาณของการล่มสลายของตำหนักซีอิงเสิ่นแห่งนี้ มีพลังงานอันแข็งแกร่งแทรกซึมเข้าไปในภาพจิตกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งนี้ ‘เนี่ยลี่’ถึงกับคิ้วกระตุก นี่มันเป็นพลังอันแข็งแกร่งของยอดฝีมือระดับเทพสงคราม!
เมื่อค่ายกลลวงตาหนึ่งพันรูปแบบที่ด้านนอกถูกทำลายลงไป แน่นอนว่า ที่แห่งนี้จะต้องดึงดูดความสนใจของยอดฝีมือระดับเทพสงครามเป็นแน่!
‘เนี่ยลี่’เริ่มรู้สึกหวั่นไหว เขาหันมามอง’เซี่ยวหยู่’และพูดขึ้นมาว่า
“เจ้าจงเข้าไปอยู่ภายในจิตกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ!”
หลังจากทีได้ยินคำพูดของ’เนี่ยลี่’
‘เซี่ยวหยู่’เกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย ในห้วงพื้นที่ช่องว่าง ของ’เนี่ยลี่’นั้น สามารถนำสิ่งที่มีชีวิตเข้าได้ไปด้วยหรือ? นางรู้เพียงแค่ว่า จิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ นั้นเป็นของที่วิเศษยิ่งนัก แต่นางเองก็มิได้รู้ว่า มันใช้ทำสิ่งใดได้บ้าง
ด้วยการสบัดแขนขวาของ’เนี่ยลี่’จิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำก็ดูด’เซี่ยวหยู่’เข้าไปด้านในทันที
“ข้าจะต้องหาทางออกไปให้ได้ ถ้าไม่เช่นนั้นผลจากการสังเวยเลือดอสูรจะต้องหายไปเป็นแน่!”
‘เนี่ยลี่’อดไม่ได้ที่จะคิด เขาไม่รู้เลยว่าท้ายที่สุดแล้วในตำหนักซีอิงเสิ่นแห่งนี้จะยังมีสมบัติใดซ่อนอยู่อีก แต่’เนี่ยลี่’ก็มิได้มีเวลาที่จะค้นหาอีกต่อไป
หลังจากที่ได้ครุ่นคิด ‘เนี่ยลี่’รีบตรงไปที่ค่ายกลศิลาวิญญาณล่องลอยทันที และเตรียมที่จะกลับออกไป เมื่อ โอรสศักดิ์สิทธิ์ ‘หลีหั่ว’เห็นว่า ค่ายกลศิลาเริ่มที่จะพลังทะลายลงไป ยอดฝีมือคนอื่นๆ และ รวมไปถึง เสิ่นเหลย โม๋จุน ก็จะออกไปได้ด้วย นั่นก็นับว่าเป็นปัญหายิ่งนัก เกรงว่าจะเข้าไปแย่งชิงสมบัติกันข้างใน
‘เนี่ยลี่’ทะยานผ่านไปอย่างรวดเร็ว และรีบไปพบ’เหยียนหยาง’
“ข้ารู้สึกได้ว่าตำหนังซีอิงเสิ่นแห่งนี้กำลังจะพังทะลายลง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
‘เหยียนหยาง’ลืมตาพร้อมกับยืนขึ้นและเอ่ยถาม
“ยอดฝีมือระดับเทพสงครามผู้หนึ่ง กำลังคิดจะทำลายข่ายอาคม เพื่อที่จะเข้ามายังที่แห่งนี้ พวกเราจะต้องรีบหนีออกไป!”
‘เนี่ยลี่’ตอบกลับไปและพูดอธิบายต่ออีกว่า
“ข้ารับรู้ได้ถึงลมปราณส่วนหนึ่งมันมีกลิ่นอายของอสูร คนผู้นี้จะต้องเป็นคนของนิกายเทพอสูรเป็นแน่!”
หลังจากทีได้ยินที่’เนี่ยลี่’พูด ‘เหยียนหยาง’อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ ‘เนี่ยลี่’ใช้วิธีไหนกันในการตรวจสอบว่าอสูรตนใดมาจากนิกายเทพอสูร?
‘เนี่ยลี่’ผู้นี้ ช่างมีความลับยิ่งนักเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นทั้งหมด
“ข้าจะต้องมีชีวิตรอดกลับไปยังนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ คงต้องให้ศิษย์พี่เหยียนหยางช่วยเหลือแล้ว!”
‘เนี่ยลี่’ประสานมือเคารพ’เหยียนหยาง’
“ข้าจะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ!”
‘เหยียนหยาง’พยักหน้าพร้อมตอบกลับไป
ทั้งรีบวิ่งไปยังทางออก
หลังจากนั้นไม่นาน ค่ายกลศิลาวิญญาณล่องลอย ก็พังทะลายลงไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่ติดอยู่ในค่ายกลก็หลุดออกมา
‘อู๋หยาจื่อ’มองไปที่พื้นที่ที่ว่างเปล่า เขามองกลับไปแล้วยิ้มอย่างขมขื่น เขาคิดที่จะสังหาร’เนี่ยลี่’กับ’เซี่ยวหยู่’เมื่อกลับออกไป เขาไม่คิดเลยว่า’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’จะคาดการณ์เอาไว้ทั้งหมดแล้ว และเขาเชื่อว่า’เซี่ยวหยู่’จะต้องถูก’เนี่ยลี่’ช่วยเหลือให้ออกจากค่ายกลศิลไปแล้วก่อนหน้านี้เป็นแน่
เขาไม่รู้เลยว่า’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’ ไปอยู่ที่ไหนในตอนนี้ ‘อู๋หยาจื่อ’ครุ่นคิดและทะยานไปยังทางออก มีเพียงการปิดกั้นทางออกเท่านั้น ที่เขาจะสามารถหยุด’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’ได้!
โอรสศักดิ์สิทธิ์’หลีหั่ว’เงยหน้ามองไปยังพื้นที่ ที่ว่างเปล่า ในดวงตาของเขาเผยให้เห็นความยินดี ในที่สุดอาจารย์ของเขาได้มาถึงแล้ว!
ตราบเท่าที่อาจารย์ของเขาอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีผู้ใดที่จะเอาสมบัติออกไปได้!
หลังจากที่โอรสศักดิ์สิทธิ์’หลีหั่ว’ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้นำลูกน้องของเขาออกไปยังประตูทางออก
มีเพียง’เสิ่นเหลย โม๋จุน’ ที่ยังขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ เขายังไม่คิดที่จะยอมแพ้ และค้นหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ในตำหนักซีอิงเสิ่นนี้ต่อไป!
ครืนน!
ครืนน! ครืนน!
ในที่สุดข่ายอาคมก็พังทะลายลงไป เจตจำนงอันแข็งแกร่งได้แผ่เข้าไปยังด้านใน เพื่อค้นหาสมบัติที่ซุกซ่อนอยู่ในตำหนักซีอิงเสิ่น
ด้วยความแข็งแกร่งของ’ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง’การที่จะตรวจสอบพื้นที่ทั้งหมดของตำหนักซีอิงเสิ่นนั้น เป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ตรวจพบว่า ที่ด้านในส่วนลึกของตำหนักซีอิงเสิ่นมีเปลวเพลิงสีดำอยู่“นี่มันคืออะไรกัน?”
‘ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง’คิด จากประสบการณ์ที่เขามี เขาไม่รู้เลยว่าเปลวเพลิงสีดำนี้คืออะไร บางทีอาจจะเป็นสมบัติที่ซุกซ่อนอยู่ก็เป็นได้ เขาจึงส่งเจตจำนงส่วนหนึ่งเข้าไปสำรวจ เปลวเพลิงสีดำ ดังกล่าว
ทันทีที่เจตจำนงของเขาได้สัมผัสเข้ากับเปลวเพลิงสีดำ’ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง’ก็ร้องอย่างเจ็บปวด
“ใครกันที่คิดกล้าเล่นสกปรกกับข้า!”
เจตจำนงของ’ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง’ น้ำถูกเปลวเพลิงสีดำเผาไหม้ ดวงตาข้างซ้ายของเขานั้นร้อนราวกับถูกเผาไหม้ เปลวเพลิงสีดำพยายามที่จะเผาเจตจำนงค์ของเขาจนหมดสิ้น ‘ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง’จึงตัดเจตจำนงนั้นทิ้งไป
หึ!
‘ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง’ได้แยกเจตจำนงเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งถูกตัดออกไปเนื่องจากถูกเผาไหม้ด้วยเพลิงสีดำ
‘ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง’ถึงกับหายใจหอบ เขารู้สึกโกรธยิ่งนัก แม้ว่าเขาจะตัดเจตจำนงนั้นออกไป แต่ด้วยความเสียหายจากเปลวเพลิงสีดำที่เผาไหม้เจตจำนงของเขา ทำให้เขาเองก็ต้องบาดเจ็บมิใช่น้อย
หลังจากที่บรรลุระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่เก้า ชะตาวิญญาณทั้งเก้าจะรวมเป็นหนึ่ง ถ้าหากเมื่อใดที่ถูกสังหารก็คือการดับสูญ
แต่เมื่อก้าวถึงระดับเทพสงคราม นอกจากเก้าชะตาวิญญาณจะรวมเป็นหนึ่งแล้ว ก็จะไปถึงกายเนื้อและวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง
กล่าวคือ ร่างกายและวิญญาณของยอดฝีมือระดับเทพสงครามเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อจิตวิญญาณถูกเผาไหม้ไป ก็คือการดับสูญเช่นกันตรงส่วนนี้รอให้’เนี่ยลี่’ไปถึงระดับวิถีแห่งมังกรคงจะมีการอธิบายโดยละเอียดอีกรอบ
ตอนนี้ขอแปลไปตามนี้ก่อนนะครับ จุดที่ไม่มั่นใจคือ ชะตาวิญญาณจะมารวมตัวกันในตอนไหนกันแน่ ระหว่าง วิถีแห่งมังกรขั้นที่หนึ่ง หรือว่า จะรวมตอนขั้นที่เก้า
แต่ในระดับเทพสงคราม หากสามารถที่จะบรรลุไปถึงขอบเขตที่เหนือล้ำยิ่งไปกว่านั้น ที่เรียกได้ว่าเป็นตำนาน ก็จะสามารถเรียกขานเขาได้ว่า พระเจ้า! บรรลุขอบเขตแห่งพระเจ้า
จิตวิญญาณของ ‘ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง’ห้าส่วนได้ถูกเผาไหม้ไป ระดับการบ่มเพาะพลังของเขาจึงลดไปเป็นอย่างมาก ทำให้เขารู้สึกโกรธยิ่งนัก
การที่จะคืนพลังกลับมาเท่าเดิมนั้น เขาต้องทำการบ่มเพาะพลังนับสามสิบปี!
การบ่มเพาะพลังสามสิบปีของเขา กลับสลายไปในพริบตา จะไม่ทำให้เขาโกรธแค้นได้เช่นใด?
เขาได้ตรวจสอบทั่วทั้งตำหนักซีอิงเสิ่นแล้ว แต่ก็ไม่พบสมบัติเลยสักชิ้น เป็นไปได้ว่า มีใครบางคนเก็บเอาสมบัติทั้งหมดไปแล้วใช่หรือไม่?
‘ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง’จ้องมองไปที่ตำหนังซีอิงเสิ่น ทุกคนที่ติดอยู่ในตำหนังซีอิงเสิ่นแห่งนี้ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้คนที่ครอบครองสมบัติรอดออกไปได้เป็นแน่
‘ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง’เปร่งเสียงผ่านลมปราณดังกึกก้องทั่วทั้งตำหนักซีอิงเสิ่น
“ถึงผู้ที่ติดอยู่ในตำหนักซีอิงเสิ่นแห่งนี้ หากพวกเจ้าต้องการที่จะรอดกลับไป จงทิ้งแหวนห้วงมิติที่ใช้สำหรับเก็บของไว้ ถ้ามิเช่นนั้นจะถูกสังหารโดยไม่มีการให้อภัยเด็ดขาด!”
ทั่วทั้งตำหนักซีอิงเสิ่น ไม่เพียงแค่คนจากนิกายเทพอสูร ยังมีคนจากแปดนิกายศักดิ์สิทธิ์ นอกจากหกนิกายใหญ่แล้วก็มีนิกายเล็ก
ๆอยู่อีก และมีหลายคนที่อยู่ในระดับ โอรสศักดิ์สิทธิ์ และธิดาศักดิ์สิทธิ์ ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำนิกาย แม้ว่า ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง จะแข็งแกร่ง และมีตำแหน่งสูงสุดในนิกายเทพอสูร แต่เขากล้าที่จะก่อสงครามขึ้นที่ไร้จุดจบขึ้นเช่นนั้นหรือ?การที่จะสังหารทุกคนที่อยู่ในตำหนักซีอิงเสิ่นนี้ มันจะเป็นการสร้างความเคียดแค้นต่อผู้คนจำนวนมาก
การสังหารคนทั่วไปนั้นก็มีความเป็นไปได้ แต่การสังหารคนในระดับ โอรสศักดิ์สิทธิ์ และ ธิดาศักดิ์สิทธิ์ มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเป็นแน่ แม้ว่านิกายเทพอสูรจะมีพลังมากพอสู้กับนิกายศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเหล่ายอดฝีมือระดับเทพสงครามของนิกายศักดิ์สิทธิ์ร่วมมือกัน เกรงว่านิกายเทพอสูรจะต้องย่อยยับเป็นแน่ สุดท้ายเขาก็ต้องแบกรับปัญหาที่ก่อเอาไว้เอง
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเพิ่งจะสูญเสียการบ่มเพาะพลังไปถึงสามสิบปี ในตอนนี้เป็นเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุดเสียด้วยซ้ำ!
ที่ด้านนอกตำหนักซีอิงเสิ่น กองกำลังของนิกายเทพอสูรคอยขวางมิให้ใครออกไปข้างนอกได้ พวกเขานั้นราวกับเสือและหมาป่า
ที่คอยจับจ้องผู้ที่คิดจะออกไปจำตำหนักซีอิงเสิ่น“นี่คือแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของของข้า!”
ยอดฝีมือจากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งโยนแหวนให้อสูรพวกนั้น ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความโกรธ และเดินออกไปที่ด้านนอก
“ช้าก่อน!”
ยอดฝีมือของนิกายเทพอสูรหลายคนได้มาหยุดเขาเอาไว้
“ข้าได้มอบทั้งหมดที่ข้ามีให้พวกเจ้าไปแล้ว พวกเจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก?”
ยอดฝีมือจากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์เอ่ยถามอย่างขมขื่น
ยอดฝีมือจากนิกายเทพอสูร กระชากเสื้อของเขาออก มีของวิเศษสองชิ้นร่วงลงมา
“เจ้ากล้าที่จะซุกซ่อนสมบัติเอาไว้ เจ้าคงจะไม่ต้องการชีวิตแล้วสินะ?”
“สังหารมันซะ!”
กระฉูด!
ยอดฝีมือจากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ถูกตัดหัวด้วยกระบี่ในคราเดียว เลือดก็พุ่งกระจายไปทั่วพื้น………….
จบตอน
แปลโดย นายมะพร้าว
คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ
ที่มา: