ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป‘ลู่เพียว’รู้สึกราวกับว่าได้กำเนิดใหม่อย่างสมบูรณ์
ประสิทธิภาพของยาทิพย์พุ่งเข้าไปที่ห้วงขอบเขตวิญญาณของเขาราวกับบ้าคลั่ง จนห้วงขอบเขตวิญญาณของเขาแทบจะฉีกขาด แตกต่างจากยาทิพย์ที่เขาเคยกินมาก่อนหน้านี้ ยาทิพย์ชนิดนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
‘ลู่เพียว’รู้สึกตกใจยิ่งนัก ถ้าหากยาทิพย์นี้ทำให้ขอบเขตวิญญาณของเขาฉีกขาด ทุกอย่างที่เขาทำมาก็จบสิ้นไปทันที!
ชีวิตที่ไม่อาจบ่มพาะพลังเพิ่มสูงขึ้นไปได้อีก แม้ว่าจะเลื่อนระดับได้ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด
หลังจากนั้นไม่นาน ยาทิพย์ก็เริ่มที่จะผสานเข้ากับห้วงขอบเขตวิญญาณของลู่เพียวได้และระดับพลังวิญญาณภายในห้วงขอบเขตวิญญาณก็เพิ่มสูงขึ้น
ยาทิพย์นี้นอกจากจะมีประสิทธิ์ภาพช่วยเพิ่มพลังอย่างน่ากลัวแล้ว ยังส่งผลให้ช่วยบำรุงห้วงขอบเขตวิญญาณอีกด้วย
‘ลู่เพียว’รู้สึกตกใจขึ้นไปอีก เขารับรู้ได้ถึงระดับการบ่มเพาะของตนเอง ได้ทะลวงผ่านถึงระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ หลังจากแก่นแท้แห่งสวรรค์อันแรกได้ปรากฏ จากนั้นก็อันที่สอง สุดท้ายไปหยุดชะงักอยู่ตรงอันที่ห้า ‘ลู่เพียว’ได้บรรลุระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ขั้นที่ห้า
โอ้ พระเจ้า นี่มันคือยาทิพย์อะไรกันนี่!
ประสิทธิภาพของมันน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ยาทิพย์นี้ยกระดับพลังของเขาให้สูงขึ้นเป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่ได้ทานยาทิพย์นี้ลงไป เขาต้องใช้เวลายาวนานสักแค่ไหนกัน จึงจะเลื่อนระดับพลังมาถึงขั้นนี้ได้?
‘หลี่ชิงอวิ๋น’ที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ ‘กู้เบ่ย’และคนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจกับระดับที่’ลู่เพียว’ได้ก้าวไปถึง พวกเขากลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ ประสิทธิภาพของยาทิพย์นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
พวกเขาสามารถรับรู้ถึงระดับพลังที่สูงขึ้นของ’ลู่เพียว’ได้อย่างชัดเจน แค่ยาทิพย์ขวดเล็ก ๆ ยังมีประสิทธิภาพถึงเพียงนี้
‘เนี่ยลี่’ยิ้ม จากการเปลี่ยนแปลงของ’ลู่เพียว’ที่ได้เห็นนี้ เขาคิดว่าเป็นเพราะยาทิพย์ที่ทำมาจากผลไม้แห่งพระเจ้า จึงทำให้’ลู่เพียว’แข็งแกร่งขึ้นถึงเพียงนี้ จากการเพิ่มขึ้นของระดับพลังถึงเพียงนี้ ควรจะเรียกได้ว่าเป็นยาทิพย์ขั้นสูงสุด
“เนี่ยลี่ ส่งมาให้ข้าขวดหนึ่ง!”
‘หลี่ชิงอวิ๋น’อดไม่ได้ที่จะพูดออกไป
ไม่ว่าใครที่อยู่ในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ถ้าได้เห็นการเลื่อนระดับพลังของ’ลู่เพียว’ คงไม่มีผู้ใดที่อดใจได้เป็นแน่!
‘เนี่ยลี่’ส่งยาทิพย์ให้กับทุกคน จากนั้นเข้าไปในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ จากนั้นก็แบ่งปันยาทิพย์ให้เหล่ายอดฝีมือจากชนเผ่าเมฆาสวรรค์
หลังจากที่ได้ดื่มยาทิพย์ พวกเขาก็เริ่มทำการบ่มเพาะพลัง
เวลาผ่านไปราวหนึ่งเดือน กองกำลังอสูร กองกำลังเส้นทางสวรรค์ และกองกำลังเสียงเร้นลับ ยังคงหลบอยู่ในสถาบันวิญญาณฟ้ามิได้ออกไปที่ใด แม้ว่าเหล่าลูกน้องของ’กู้เหิง’
ต้นฉบับบอกว่าเป็นคนของกู้เหิงนะครับ ไม่ได้แปลผิดจะตะโกนดูถูก
พวกเขาก็ไม่ยอมออกไปข้างนอก กองกำลังอสูร กองกำลังเส้นทางสวรรค์ และกองกำลังเสียงเร้นลับ ราวกับว่าหายสาปสูญไป
เนื่องจากไม่ได้เห็นสมาชิกหลักของกองกำลัง ทำให้เหล่าสมาชิกในกองกำลังเริ่มที่จะรู้สึกไม่มั่นคง มีสมาชิกในกองกำลังอสูรบางส่วน กองกำลังเส้นทางสวรรค์ และกองกำลังเสียงเร้นลับ ได้เปลี่ยนไปสนับสนุนกู้เหิงแทน ตรงส่วนนี้ดูเหมือนขัดแย้งกับการลงนามในการสมัครเข้ากองกำลัง แต่ก็ไม่มีตรงส่วนไหนที่บอกว่าหักหลังไม่ได้
ที่บอกไว้มีแค่ว่าถ้าหักหลัง กองกำลังอื่นก็จะไม่รับ แต่การย้ายไปอยู่ฝั่งศัตรูมันก็เป็นอีกเรื่อง
ที่ลานแห่งหนึ่งในสถาบันวิญญาณฟ้า
“เหอหยวน พวกเราทำเช่นนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
ชายผู้หนึ่งอายุราวยี่สิบหกหรือยี่สิบเจ็ดปี สวมชุดสีขาวท่าทางอ่อนแอพูดขึ้นมา
ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าที่ถูกเรียกว่า’เหอหยวน’ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาว่า
“ทำเกินไปเช่นนั้นหรือ? พวกเราเข้าร่วมกองกำลังอสูรด้วยเหตุใดกัน? ไม่ใช่เพราะเห็นถึงศักยภาพความของแกร่งของกองกำลังอสูรมิใช่หรือ? และรวมไปถึงข้อเสนอที่ค่อนข้างดีถูกต้องหรือไม่? แต่เจ้าดูกองกำลังอสูรในเวลานี้เป็นเช่นใดบ้าง สมาชิกหลักของกองกำลังอสูรและกองกำลังที่เป็นพันธมิตรกัน หายไปที่ไหนก็ไม่มีผู้ใดทราบ ราวกับเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง แล้วพวกเรายังควรที่จะอยู่ในกองกำลังเช่นนี้ต่อไปหรืออย่างไร?”
“แต่ถ้าหากพวกเราออกไป พวกเราจะต้องทอดทิ้งเหล่าพี่น้องกว่าอีกกว่าสองร้อยชีวิต….”
“ฮ่าฮ่าฮ่า คนเราต่างก็ลื่นไหลราวกับสายน้ำ กองกำลังอสูรกำลังจะจบสิ้น กองกำลังของกู้เหิงก็ยังคงแข็งแกร่ง ถ้าหากเรานำเหล่าพี่น้องไปเป็นจำนวนมาก ก็สามารถที่จะต่อรองข้อเสนอให้ดูแลพวกเราเป็นอย่างดีได้ ถ้าหากพวกเราไปกันแค่สองคน คนของกู้เหิงมีหรือจะยอมมาคุยกับพวกเรา?”
‘เหอหยวน’พูดขึ้นมา
เนื่องจากสมาชิกหลักของกองกำลังอสูรหลบซ่อนตัวอยู่ ทำให้เหล่าสมาชิกเริ่มที่จะรู้สึกไม่มั่นคง ภายใต้การยุยงของ’เหอหยวน’ ทำให้มีคนกว่าสองร้อยที่เต็มใจที่จะออกไปพร้อมกับเหอหยวน
สำหรับผู้ที่ยอมหักหลังกองกำลังอสูร ก็เป็นเรื่องปกติที่กู้เหิง ยินดีที่จะรับเข้ามาในกองกำลังของเขา และต้องให้ข้อเสนอที่ดีมาก
สำหรับคนรุ่นใหม่บางคนก็กัดฟันพูดขึ้นมาว่า
“ก็ดี ถ้าหากกองกำลังอสูรนั้นกำลังจะตาย พวกเราก็จะออกไป”
จากเดิมที่มีแค่ไม่กี่ร้อยคน ที่ตัดสินใจที่จะย้ายออกจากกองกำลังอย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้ก็มีนับพันคนแล้ว
ในเวลานี้’เนี่ยลี่’ก็ได้ทราบข่าวจากกองกำลังอสูร สำหรับสมาชิกในกองกำลังอสูรที่เชื่อถือได้ ‘เนี่ยลี่’ได้นำเข้ามาบ่มเพาะพลังโดยใช้ยาทิพย์ ในส่วนของสมาชิกทั่ว ๆ ไปนั้น ‘เนี่ยลี่’ก็ยังจับตาดูผู้ที่หักหลังออกจากกองกำลังอสูรไปอยู่ฝ่าย’กู้เหิง’แต่’เนี่ยลี่’ก็ไม่ได้ปิดกั้นถ้าหากคนเหล่านั้นจะแยกตัวออกไป
แม้ว่าจะมีคนแยกย้ายออกไป แต่คนที่เหลืออยู่ก็ยังนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อย
หลังจากที่ความไม่สงบจางไป เขาก็เชื่อได้ว่าผู้ที่ยังเหลืออยู่ มีค่าพอที่จะช่วยเหลือในการบ่มเพาะพลังให้
‘เนี่ยลี่’ยังได้แอบจัดการกับสายที่แอบเข้ามาสอดแนมในกองกำลังอสูร โดยการจัดการในครั้งนี้ และเหล่าสมาชิกที่เหลือที่เขาเชื่อใจได้นั้น ก็ได้ถูกคัดเลือกมาเป็นรายบุคคล และแอบช่วยเหลือในการบ่มเพาะพลัง
หลังจากนั้นไม่นาน สถาบันวิญญาณฟ้าก็เข้าสู่สถานการณ์ที่สงบ กองกำลังอสูร กองกำลังเส้นทางสวรรค์ และกองกำลังเสียงเร้นลับ มีสมาชิกในกองกำลังลดน้อยลง กู้เหิงก็กระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีการที่ได้คนเข้าร่วมมากขึ้น กองกำลังของเขาก็จะยิ่งเติบโตขึ้น และเขาก็ยังคิดที่จะยึดตำแหน่งผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่งคืนมา และในตระกูลเถ้าอัคคี
‘หลี่ยื่อฟง’ได้ประกาศออกไปว่า อีกไม่นานเขาจะต้องได้ขึ้นครองตำแหน่งผู้นำตระกูลเถ้าอัคคี
ส่วนทาง’หลงเทียนหมิง’นั้นยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ แต่ก็มีข่าวว่าจะได้เป็นตัวแทนของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
เหล่ายอดฝีมือที่อยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโส ต้องการที่จะไปฝึกฝนและบ่มเพาะพลังอย่างสงบ เพื่อให้นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ได้สืบทอดต่อไป สำหรับบุคคลเหล่านั้นรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่น่ารำคาญ พวกเขาจึงต้องการให้คนรุ่นใหม่มาดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ต่อ
‘เนี่ยลี่’ยังคงทำการบ่มเพาะพลังอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังได้สังเกตุ การเคลื่อนไหวในนิกายขนนกศักด์สิทธิ์อยู่ตลอดเวลา ตราบเท่าที่กองกำลังอสูรยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพความแข็งแกร่งของตนเองได้ เรื่องเหล่านี้ก็หาได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด
นอกจากนี้ในการดำเนินชีวิตปกติของแต่ละวัน ‘เนี่ยลี่’ก็ยังสละเวลาไปเยี่ยมเยียนท่านปรมาจารย์เทียนอวิ๋นที่เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสหลักของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านปรมาจารย์เทียนอวิ๋น และท่านปรมาจารย์เทียนอวิ๋นก็ได้ไว้วางใจในตัว’เนี่ยลี่’ยิ่งนัก
ตำหนักเทียนอวิ๋น นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
“เนี่ยลี่ เจ้าบอกว่า เจ้านั้นต้องการที่จะเข้าร่วมการชิงชัยในตำแหน่งผู้สืบทอด ผู้นำนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่?”
ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“ถูกต้องแล้วขอรับ!”
‘เนี่ยลี่’ตอบกลับไปอย่างมั่นใจ และพูดต่อไปอีกว่า
“ในเวลานี้พวกเราจะต้องทำการกดดันนิกายเทพอสูร ถ้าหากอำนาจตกอยู่ในกำมือของหลงเทียนหมิง ข้าเกรงว่านิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์จะตกอยู่ในภาวะวิกฤตที่ยิ่งใหญ่เป็นแน่ ดังนั้นข้าจึงต้องลุกขึ้นยืนและเข้าร่วมการชิงชัยในตำแหน่งผู้นำนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์”
“แต่เจ้านั้นไม่มีโอกาสที่จะชนะได้เลยแม้แต่น้อย เจ้านั้นยังมิได้หยั่งรากลึกลงไปในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ศิษย์จำนวนมากของนิกายยังไม่รู้ว่าเจ้านั้นเป็นใคร แล้วเจ้าจะเป็นตัวแทนในการเข้าชิงชัยในตำแหน่งผู้นำนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นใดกัน? แม้ว่าเจ้านั้นจะเป็นศิษย์ของข้า และข้าเองก็ต้องการที่จะสนับสนุนเจ้า แต่นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์นั้นกว้างใหญ่นัก แค่การสนับสนุนจากข้านั้นยังไม่เพียงพอ!”
ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นพูดออกไปพร้อมกับส่ายศีรษะ ในความคิดของเขานั้น ความหวังของ’เนี่ยลี่’ ยากเกินไปที่จะเป็นจริงได้ เขาพูดต่ออีกว่า
“ข้ารู้ว่าในใจของเจ้านั้นมีความทะเยอทะยาน และเป็นคนที่มีความสามารถยิ่งนัก แต่สำหรับตำแหน่งผู้นำนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ยังกล่าวได้ว่ายังยากเกินไป!”
“ถ้าข้านั้นต้องการที่จะชิงชัยในตำแหน่งผู้นำนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ จะต้องนำนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ไปสู่ความรุ่งเรืองอย่างแน่นอน! ข้าแค่ต้องการมั่นใจว่าท่านอาจารย์นั้นให้การสนับสนุนข้า!”
‘เนี่ยลี่’พูดพร้อมกับจ้องมองไปที่ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ดูเหมือนว่าปรมาจารย์เทียนอวิ๋นจะยังสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของเขาอยู่
ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เนี่ยลี่นั้นดูมีความมั่นใจยิ่งนัก บางทีเรื่องนี้ อาจจะเป็นจริงก็เป็นได้…… ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นพูดขึ้นมาหลังจากที่ครุ่นคิด
“ข้าเกรงว่า ตัวข้านั้นก็ไม่อาจที่จะสนับสนุนเจ้าได้อย่างเต็มกำลัง ถ้าหากไม่มีผู้ยิ่งใหญ่ท่านอื่นให้การสนับสนุน ข้าเกรงว่ามันคงไม่อาจที่จะเป็นไปได้”
“ตราบเท่าที่ท่านอาจารย์ให้การสนับสนุนข้า ข้าก็มีหนทาง”
‘เนี่ยลี่’พูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ…………….
จบตอน
แปลโดย นายมะพร้าว
คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ
บทต่อไป
& บทที่ 434 神药 ยาทิพย์แห่งพระเจ้าที่มา: