ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปผู้นำนิกายทุกคนไปนั่งตรงที่นั่ง ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้และเหล่าศิษย์ก็ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขาซึ่งพวกเขาไม่พูดอะไรกันแม้สักคำ
“ก่อนจะคุยกันเรื่องนั้น ข้าขอให้ท่านตอบข้อสงสัยมาก่อนได้หรือไม่”
‘ปรมาจารย์อินเยวี่ย’แห่งนิกายเสียงสวรรค์พูดขึ้น
“เชิญท่านถามมาได้”
‘ปรมาจารย์เทียนอู่’ตอบกลับไป
“ปกติแล้วที่นั่งของผู้นำนิกายทั้งหก จะมีเพียงเจ็ดที่นั่ง แต่เหตุใดในคราวนี้จึงมีที่นั่งที่แปดด้วย”
‘ปรมาจารย์อินเยวี่ย’ ถามด้วยความสงสัย
“เรื่องที่ท่านถามข้าขอเสียมารยาทตอบท่านเอง”
‘เนี่ยลี่’พูดและเดินออกมาพร้อมกับต้วนเจี้ยน และลู่เพียว
“ที่นั่งที่แปดเป็นของผู้นำนิกายเร้นเมฆาที่เป็นดั่งนิกายสาขาของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์”
‘เนี่ยลี่’ พูดต่อ
“ขอคารวะท่านผู้นำนิกายทุกท่านข้าคือต้วนเจี้ยน ผู้นำนิกายเร้นเมฆา”
‘ต้วนเจี้ยน’ประสานมือคารวะเหล่าผู้นิกายอย่างสุภาพ
“ไม่คิดเลยว่า นิกายเร้นเมฆาจะมีผู้นำคนใหม่เป็นเด็กเช่นนี้ ดูเหมือนว่าพวกข้าจะแก่ชรามากเกินไปแล้ว”
‘ปรมาจารย์ฟู่ชิน’แห่งนิกายกำเนิดสวรรค์พูดพร้อมกับหัวเราะ
“หาใช่เพียงแค่นิกายเร้นเมฆาเท่านั้นที่มีผู้นำนิกายเยาว์วัยเช่นนี้ นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ของข้าก็เช่นกัน นี่คือประมุขเนี่ย ผู้นำนิกายคนใหม่ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์”
‘ปรมาจารย์เทียนอู่’พูดขึ้นมาพร้อมกับยิ้ม
“นี่ท่านพูดล้อเล่นอันใดกัน ท่านให้เด็กน้อยผู้นี้เป็นผู้นำหนึ่งในนิกายศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นหรือ”
‘ปรมาจารย์หมู่ชิน’พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
“จากที่ข้าสัมผัสได้เจ้าเด็กผู้นี้ มีพลังอยู่ในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่ห้าเท่านั้น หากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ตกต่ำถึงเพียงนี้ ก็ไม่ควรที่จะเป็นหนึ่งในหกนิกายศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
‘ปรมาจารย์อู๋เม่า’ แห่งนิกายเทพไร้ลักษณ์มองดู’เนี่ยลี่’ด้วยความดูถูก
หลังจากได้ยินเหล่าผู้นำนิกายคนอื่นๆ พูดเช่นนั้น ‘เนี่ยลี่’จึงนั่งลงตรงที่นั่ง และเชิญ’ต้วนเจี้ยน’ให้นั่งลงเช่นก้อน จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า
“ขออภัยท่านผู้นำนิกายทั้งหลาย ท่านอาจจะดูว่าข้านั้นอ่อนวัยเกินไปสำหรับตำแหน่งนี้ แต่ข้าก็ก้าวขึ้นตำแหน่งด้วยความสามารถของข้า”
‘เนี่ยลี่’พูดออกไปพร้อมกับยิ้ม
“เจ้ามีความสามารถอันใดกัน ข้านั้นพอที่จะได้ยินเรื่องราวของเจ้าจากเหยียนหยางมาบ้าง ข้าเองก็ต้องการเห็นด้วยตาตนเองเช่นกัน!”
‘ปรมาจารย์เทียนหั่ว’ แห่งนิกายเทพอัคคี พูดขึ้นมาอย่างใจเย็น หากดูจากระดับพลังแล้วเขาเป็นหนึ่งในหกนิกายศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากเขานั้นอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้า
“ความสามารถของข้า หากแสดงด้านกำลัง คงเป็นดั่งลูกแมวที่พองขนต่อหน้าพญาราชสีห์ แต่ตำหนักชมจันทร์แห่งนี้ข้าเป็นผู้ที่สร้างขึ้นมา ข้าคิดว่าพวกท่านคงไม่อาจที่จะทำลายเพื่อออกไปข้างนอกได้”
‘เนี่ยลี่’พูดออกไปพร้อมกับยิ้ม
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอทดสอบดูเอง!”
‘ปรมาจารย์ฮัวฮวาลี่’แห่งนิกายร้อยบุพผาสวรรค์ พูดขึ้นมาพร้อมกับปากุหลาบดอกหนึ่งออกไปตรงด้านข้าง พลังที่แผ่พุ่งออกไปนั้น
อยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่ห้าตูมม!
เสียงกุหลาบปะทะเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นระเบิดเสียงดังยิ่งนัก แต่ก็ไม่อาจที่จะเปิดทางออกไปได้
“วางใจได้ ข้ามิได้ต้องการเรียกพวกท่านมาเพื่อกักขังไว้ แต่ด้วยพลังระดับเทพสงครามคงไม่อาจที่จะทำลายตำหนักชมจันทร์ของข้าได้เป็นแน่”
‘เนี่ยลี่’พูดออกไป
“นี่มันกำแพงบ้าอะไรกัน!”
‘ปรมาจารย์ฮัวฮวาลี่’พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าพูดราวกับว่า มีระดับพลังที่เหนือเกินกว่าระดับเทพสงคราม!”
‘ปรมาจารย์เทียนหั่ว’พูดขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ข้าบอกได้เพียงว่า ในตำหนักนี้ ผู้ที่มีระดับพลังสูงที่สุดคือท่านปรมาจารย์เทียนอู่ หากพวกท่านไม่ยอมรับฟังข้อเสนอจากข้า ข้าก็คงไม่อาจที่จะพูดสิ่งอื่นใดได้มากกว่านี้”
‘เนี่ยลี่’ตอบกลับไป
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของ’เนี่ยลี่’ ผู้นำนิกายคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกสงสัยยิ่งนัก เดิมทีปรมาจารย์เทียนอู่นั้น มีระดับพลังอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่ห้า แต่ระดับพลังที่พวกเขาสัมผัสได้ในตอนนี้ มีเพียงแค่ระดับเทพสงครามขั้นที่สองเท่านั้น
แต่เหตุใด’เนี่ยลี่’จึงบอกว่าปรมาจารย์เทียนอู่นั้นมีระดับพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักนี้
ทางปรมาจารย์เทียนอู่นั้นยืนยิ้มด้วยความยินดีเป็นอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน ที่ด้านนอกนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ มีกองกำลังของอสูรจำนวนมาก มายืนอยู่ด้านนอก อสูรกลุ่มนี้มาจากนิกายห้าอสูรสายฟ้า และ นิกายจันทราโลหิตซึ่งนำมาโดยผู้นำนิกายทั้งสอง ปรมาจารย์ต้าเหลย และ ปรมาจารย์เซวี่ยซินเยวี่ย บัดนี้พวกเขานั้นบรรลุระดับเทพสงครามขั้นที่สามแล้ว และหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว
ศิษย์ของนิกายจันทราโลหิต ได้สืบข่าวมาว่า บุรุษผู้อ้างตนว่าเป็นเทพกระบี่นั้น อยู่ในนิกายขนนกสักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์ต้าเหลยจึงคิดที่จะมาแก้แค้นให้แก่ศิษย์เอกทั้งห้าของเขา
“ข้าให้เวลาแก่พวกเจ้าหนึ่งก้านธูป หากไม่นำตัวเทพกระบี่ออกมา นิกายห้าอสูรสายฟ้าและนิกายจันทราโลหิตจะถล่ม นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ให้สิ้นซาก!”
ปรมาจารย์ต้าเหลยที่บินอยู่เหนือประตูนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นมา
‘กู้เบ่ย’ ‘หลี่ชิงอวิ๋น’และ ‘หลงยู่อิน’ รีบเข้าไปรายงานแก่เนี่ยลี่ทันที ทั้งสามคนได้รับอนุญาตจาก’เนี่ยลี่’เอาไว้แล้ว ประตูที่อยู่ด้านในจะมองเห็นเวลาที่มีคนเข้าออกเท่านั้น เมื่อเข้าไปด้านในแล้วประตูจะหายไป
ในตำหนักชมจันทร์ของจริง
“ขออภัยท่านผู้นำนิกายทุกท่าน ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องรายการแก่ประมุขเนี่ย”
‘หลี่ชิงอวิ๋น’พูดขึ้นมาด้วยความสุภาพเขานั้นรู้ดีว่าเวลาใด ควรที่จะพูดจาเช่นใด
“ท่านพี่หลี่มีเรื่องด่วนอันใดกัน?”
‘เนี่ยลี่’ถามด้วยความสงสัย
“ท่านประมุขเนี่ย ที่หน้าประตูนิกาย ปรมาจารย์ต้าเหลย และ ปรมาจารย์เซวี่ยซินเยวี่ย จากนิกายห้าอสูรสายฟ้า และ นิกายจันทราโลหิต ได้ยกกองกำลังมาเพื่อกดดันให้เราส่งตัว กู้เบ่ยออกไปขอรับ”
‘หลี่ชิงอวิ๋น’ตอบกลับไป
“นิกายห้าอสูรสายฟ้า และ นิกายจันทราโลหิต ชั่งเลือกเวลาได้ผิดยิ่งนัก ในเวลานี้ผู้นำนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุกคนอยู่ที่นี่ แต่ข้าต้องการชมฝีมือของท่านปรมาจารย์เทียนอู่มากกว่า”
‘ปรมาจารย์อู๋เม่า’พูดขึ้นมา
“เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ไม่จำเป็นต้องให้ท่านปรมาจารย์เทียนอู่แสดงฝีมือ ท่านพี่หลี่ชิงอวิ๋น กู้เบ่ย หลงยู่อิน ทั้งสามคนที่เป็นถึงผู้นำตระกูลหลักทั้งสาม จงออกไปแสดงฝีมือให้ผู้นำนิกายที่อยู่ที่นี่ได้เห็น!”
‘เนี่ยลี่’สั่งการออกไป ดูเหมือนว่านิกายห้าอสูรสายฟ้าและ นิกายจันทราโลหิตจะบุกมาได้ในเวลาที่เหมาะสมยิ่งนัก
“รับทราบ ท่านประมุข!”
ทั้งสามคนประสานมือและออกจากตำหนักชมจันทร์ไป
“นี่เจ้าบอกว่า ทั้งสามคนคือผู้นำตระกูลของตระกูลหลักทั้งสามของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นหรือ?”
ปรมาจารย์ฮัวฮวาลี่พูดขึ้นมาด้วยความสงสัย ระดับพลังของพวกเขานั้นอยู่ที่ระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่สองและสามเท่านั้น แต่ปรมาจารย์ต้าเหลย และ ‘ปรมาจารย์เซวี่ยซินเยวี่ย’ ที่อยู่ด้านนอกนั้น พวกเขามีความแข็งแกร่งระดับเทพสงคราม
เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใด’เนี่ยลี่’จึงส่งทั้งสามออกไปต่อสู้
“พวกท่านคงมีความกังวลในเรื่องนี้ เช่นนั้นข้าจะให้พวกท่านได้เห็นภาพที่อยู่ด้านนอก”
‘เนี่ยลี่’ผสานเข้ากับดวงจิตแห่งเทพของเทพธิดาเสิ่นช่วง จากนั้นก็สะบัดมือ โดยรอบก็เป็นดั่งกระจกใสที่มองเห็นด้านนอก
ที่ด้านนอกตำหนักชมจันทร์
‘หลี่ชิงอวิ๋น’ ‘กู้เบ่ย’และ’หลงยู่อิน’ได้บินขึ้นไปหา ‘ปรมาจารย์ต้าเหลย’ และ ‘ปรมาจารย์เซวี่ยซินเยวี่ย’ ก่อนหน้านี้เขาได้สั่งการให้ศิษย์ในนิกายที่มีระดับพลังต่ำกว่าวิถีแห่งมังกรให้ไปหลบซ่อนตัวในที่ปลอดภัยแล้ว
แต่ทันใดนั้น โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวก็ได้บินขึ้นมาด้วยเช่นกัน
“โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัว นี่เป็นเรื่องภายในของนิกายของเรา ท่านโปรดอย่าได้ยื่นมือเข้ามา”
‘กู้เบ่ย’หันไปพูดกับโอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัว
“หึข้าไม่เสียเวลาคุยกับผู้ที่ระดับพลังต่ำต้อยกว่าข้า ข้าจะรับมือกับพวกเขาเอง”
‘โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัว’ พูดขึ้นมาแบบไม่สนใจใยดีนัก เขานั้นอยู่ในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่เก้าแล้ว อีกเพียงแค่ก้าวเดียวเขาก็จะบรรลุระดับเทพสงครามแล้ว
“นับจากวันนี้ไป ผู้คนจะต้องเรียกขานข้าว่าเทพกระบี่”
โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัว ชักกระบี่ออกมาและรวบรวมลมปราณไว้ที่ปลายกระบี่ก่อนที่จะปล่อยลมปราณพุ่งออกไป
“กระบี่ร้อยบุพฝาสวรรค์!”
โดยรอบกระบี่ปรากฏกลีบดอกไม้ออกมาเป็นจำนวนมาก กลีบดอกไม้แต่ละใบต่างก็คมกริบไม่ต่างจากกระบี่ พุ่งไปยังปรมาจารย์ต้าเหลย
“โง่เง่า!”
‘ปรมาจารย์ต้าเหลย’สะบัดมือเพียงครั้งเดียวกลีบดอกไม้เหล่านั้นก็ลุกไหม้ดั่งถูกเผาไหม้ด้วยสายฟ้า
“อะไรกัน!”
‘โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัว’พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ถ้าเช่นนั้นรับกระบวนท่านี้ไป กระบี่บุพผามายาสวรรค์”
โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ปรากฏเป็นร่างของเขาสี่ร่างและพุ่งเข้าหาปรมาจารย์ต้าเหลยพร้อมกันทั้งสี่ทิศ
ปรมาจารย์ต้าเหลยมิได้หลบหลีกเลยแม้แต่น้อยปล่อยให้กระบี่ของ โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวปักเข้าที่ร่างของเขา ปรากฏว่ากระบี่ของโอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวหักในทันที จากนั้นปรมาจารย์ต้าเหลยก็ใช้ฝ่ามือตบโอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวร่วงลงไปด้านล่าง
“วันนี้นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์จะต้องสิ้นชื่อไปตลอดกาล”
‘ปรมาจารย์ต้าเหลย’ตะโกนขึ้นมาอย่างกราดเกรี้ยว
“นี่หรือโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายร้อยบุพผาสวรรค์ ข้าคิดว่าศิษย์ของท่านที่ยืนอยู่ด้านหลังยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก”
‘เนี่ยลี่’พูดขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปที่’จางหมิง’
‘ปรมาจารย์ฮัวฮวาลี่’ไม่อาจที่จะโต้แย้งได้ การที่’ไป๋ฮัว’ได้ตำแหน่งโอรสศักดิ์สิทธิ์เป็นเพราะเขาเป็นบุตรชายของนางก็เท่านั้น
‘หลี่ชิงอวิ๋น’ เก็บศิลาเร้นเมฆาไว้ในแหวนพร้อมกับนำดาบเมฆาสวรรค์ออกมา ดาบนี้เขาได้รับมาจากปรมาจารย์เทียนอวิ๋นในตอนนี้เขานั้นบรรลุระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่งแล้ว
“ข้าจะรับมือเซวี่ยซินเยวี่ยเองหลงยู่อินฝากเจ้าจัดการกับกองกำลังพวกนั้นด้วย!”
‘หลี่ชิงอวิ๋น’พูดขึ้นมาพร้อมกับพุ่งเข้าไปหาปรมาจารย์เซวี่ยซินเยวี่ย
“ข้าเทพดาบเมฆาหลี่ชิงอวิ๋นเซวี่ยซินเยวี่ยจงรับมือ!”
‘หลี่ชิงอวิ๋น’ประกาศชื่อออกไปพร้อมกับโจมตี
“เข้าใจแล้ว!”
‘หลงยู่อิน’ตอบรับพร้อมกับเก็บศิลาเร้นเมฆาไว้ในแหวนพร้อมกับนำอาวุธของนางออกมาด้วยเช่นกัน นางเองก็บรรลุระดับเทพสงครามแล้ว อาวุธของนางคือ มีดเขี้ยวมังกร เป็นมีดสั้นสองเล่ม นางถือมีดเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างจากนั้นก็หมุนตัวพุ่งไปยังกองทัพของ นิกายห้าอสูรสายฟ้า และ นิกายจันทราโลหิต การหมุนตัวพุ่งออกไปของนางนั้นราวกับมังกรที่กำลังเคลื่อนไหว ทุกที่
ที่นางเคลื่อนผ่านไปยอดฝีมือของเผ่าอสูรต่างก็ล้มตายกันในพริบตา“ข้าคือเทพธิดามังกรหลงยู่อิน หากพวกเจ้าไม่กลัวตายก็จงบุกเข้ามา!”
นางประกาศชื่อออกไปพร้อมกับหมุนตัวโจมตีอย่างต่อเนื่อง กองกำลังนับแสนที่บุกมา ถูกนางสังหารไปนับหมื่นคน
‘กู้เบ่ย’เองก็เก็บศิลาจิตวิญญาณไว้ในแหวน และใช้ลมปราณสร้างกระบี่ขึ้นมา ซึ่งก็คือเจตจำนงแห่งกระบี่บรรชน!
“ข้ากับเจ้าคงไม่จำเป็นที่จะต้องแนะนำตัวแล้วสินะ?”
‘กู้เบ่ย’พูดออกไปพร้อมกับตั้งท่าเตรียมต่อสู้……………
จบตอน
แต่งโดย นายมะพร้าว
คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ
<< >>ที่มา: