I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 444.39 อาณาจักรกำแพงสวรรค์

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 25284 | 2358 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

“มีคุณชายผู้นำตระกูลใหญ่มาสู่ขอ แต่นางบอกว่าอยากจะรอความเห็นชอบจากอาจารย์ของนางก่อน”

กู้หลานพูดพร้อมกับยิ้ม

“คุณชายที่โชค….ระ..ดีคนนั้นคือใครกัน”

ลู่เพียวถามขึ้นมาก่อนที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงพูดจนจบประโยค

“เนี่ยลี่ เจ้าจะว่าอันใดหรือไม่ หากข้าจะแต่งงานกับยู่อิน”

หลี่ชิงอวิ๋นพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“พี่ชิงอวิ๋น เป็นท่านเองหรือ? หากเป็นท่านข้าก็ไม่มีปัญหาอันใด”

เนี่ยลี่ตอบกลับไปด้วยความยินดี เดิมทีเขานั้นก็ไม่อาจที่จะตอบรับความรู้สึกจากหลงยู่อินได้ แต่เขาก็เป็นห่วงและต้องการให้หลงยู่อินได้พบกับคนที่ดี

“สามเดือนที่ผ่านมา ข้าใคร่ครวญเป็นอย่างดีแล้ว บ้านเกิดของอาจารย์ก็อยู่ที่โลกใบเล็ก ท่านคงไม่คิดที่ใช้ชีวิตอยู่ที่อาณาจักรนี้ตลอดไป ช่วงเวลาที่ข้าโศกเศร้า พี่ชิงอวิ๋นก็ได้เข้ามาปลอบใจ”

หลงยู่อินก้มหน้าพูดใบหน้าของนางค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ หลายเดือนมานี้นางได้ทำภารกิจร่วมกับหลี่ชิงอวิ๋นจึงมีโอกาสที่ได้ใกล้ชิดกัน

“ยู่อิน แม้ว่าเจ้าจะเคารพข้าเป็นอาจารย์ แต่ที่ผ่านมา ข้าก็มองเจ้าเป็นดั่งสหายผู้หนึ่ง จากนี้ไป เจ้าก็จงเรียกชื่อข้าดั่งสหายผู้อื่นเถิด สำหรับการแต่งงานของเจ้ากับพี่ชิงอวิ๋น ข้านั้นรู้สึกยินดียิ่งนัก ผู้นำสองตระกูลใหญ่แต่งงานกันเช่นนี้ นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ของเรา ก็จะมั่นคงยิ่งขึ้นไปอีก”

เนี่ยลี่จับไหล่ของหลงยู่อินและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“แต่พี่ชิงอวิ๋นคงต้องผ่านด่าน ท่านป้าซูอวิ๋นให้ได้ก่อนนะ”

เนี่ยลี่หันไปมองหลี่ชิงอวิ๋นและพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ

“ข้ายอมรับข้อเสนอของ ท่านหลงซูอวิ๋นไปแล้ว บุตรชายคนแรกข้าจะให้ใช้แซ่หลง แต่ข้าก็ไม่คิดว่าจะมีบุตรชายเพียงคนเดียวหรอกนะ!”

หลี่ชิงอวิ๋นหัวเราะและตอบกลับไป

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของหลงยู่อินก็แดงไปจนถึงลำคอ

“ตอนนี้ระดับพลังของทุกคนเป็นเช่นใดบ้าง”

เนี่ยลี่กวาดสายตามองทุกคนและถามออกไป

“ตอนนี้ กู้เบ่ย หลี่ชิงอวิ๋น หลงยู่อิน และข้านั้นบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าแล้ว”

กู้หลานตอบออกไป

“ถ้าเช่นนั้น ก็มีเพียงข้าและพี่ยู่หยานที่ระดับพลังยังอยู่ในระดับเทพสงครามสินะ”

เนี่ยลี่พูดพร้อมกับพยักหน้า

“ตอนที่บรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า ข้านั้นได้เห็นนิมิตบางอย่าง ตามที่กู้เบ่ยได้บอกไว้ ดูเหมือนข้าจะเป็นหนึ่งในหกคนที่กลับชาติมาเกิด”

กู้หลานพูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ

“ท่านคือคนที่สามเช่นนั้นหรือ?”

เนี่ยลี่พูดขึ้นด้วยความตกใจ เดิมทีเขาคิดว่ากู้เบ่ยจะเป็นหนึ่งในหกคนที่เขาตามหา แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นกู้หลานแทน

“ท่านกู้หลาน เห็นนิมิตในเรื่องอันใดบ้าง?”

ต้วนเจี้ยนที่ยืนเงียบอยู่อดไม่ได้ที่จะถามออกไป เขาต้องการรู้ว่านิมิตที่นางเห็น จะเป็นเช่นเดียวกับในความทรงจำของเขาหรือไม่

“นิมิตที่ข้าเห็นคือการผนึกร่างแยกทั้งหกของจักรพรรดิปราชญ์เอาไว้ด้วยกระดูกมนตราทั้งหก เมื่อสามารถผนึกร่างแยกทั้งหกได้ จักรพรรดิปราชญ์ตัวจริงจะปรากฏขึ้นมา”

กู้หลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อย ๆ พูดขึ้นมา

“แค่ทำให้จักรพรรดิปราชญ์ตัวจริงปรากฏตัวขึ้นมาได้ ก็นับว่ายยอดเยี่ยมแล้ว”

เนี่ยลี่พูดขึ้นมา เขานั้นครุ่นคิดถึงในชีวิตที่แล้ว จักรพรรดิปราชญ์ได้ใช้ร่างแยกไปต่อสู้หลายแห่ง เขาจึงได้เผชิญหน้ากับจักรพรรดิปราชญ์ตัวจริงได้ คงการที่พลังของจักรพรรดิปราชญ์ลดลงไปตอนที่สู้กับเขา คงเป็นเพราะร่างแยกของเขาถูกผนึกไป

“เราจะพูดคุยเรื่องอื่นกันในภายหลัง รอให้จบงานแต่งงานของพี่ชิงอวิ๋นกับยู่อินก่อน”

เนี่ยลี่ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะการคุยกันเรื่องหนัก ๆ คงจะไม่เหมาะกับงานมงคลเป็นแน่

“ขอให้ทุกคนอยู่ร่วมงานมงคลของเราทั้งสองด้วย”

หลี่ชิงอวิ๋นลุกยืนขึ้นพร้อมกับชักชวนทุกคน

“แน่นอน”

เหล่าสหายจากโลกใบเล็กตอบกลับพร้อมกัน

“พรุ่งนี้ข้าจะให้บิดาของข้า ไปคุยกับทางบ้านของยู่อินเพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสม แล้วข้าจะรีบมาแจ้งกับทุกคน”

หลี่ชิงอวิ๋นพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข

สามวันต่อมา ในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์มีงานใหญ่เกิดขึ้น สองตระกูลใหญ่ได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ทั่วทั้งนิกายถูกตกแต่งไปด้วยสีแดง มีคนจากนิกายอื่น ๆมาร่วมยินดี ซึ่งรวมถึงผู้นำนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุกคน ซึ่งก็นับว่าเป็นการดี หลังจากงานมงคลแล้ว ทุกคนจะได้เดินทางกลับไปพร้อมกับผู้นำนิกาย

เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ มองดูงานแต่งแล้ว พวกนางก็อดคิดไม่ได้ว่า เมื่อไหร่กันที่จะได้แต่งงานกับเนี่ยลี่ เพียงแค่คิดขึ้นมาใบหน้าของทั้งสองคนก็กลายเป็นสีแดงเข้มม

เนี่ยลี่แอบมองทั้งสองคน และก็ได้แต่แอบยิ้ม หากการต่อสู้กับจักรพรรดิปราชญ์จบลง เขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับทั้งสองคนอย่างสงบ และคงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพอีกต่อไป

หลังจบงานมงคล เหล่าสหายของเนี่ยลี่ต่างก็ติดตามผู้นำนิกายของตนกลับไป

กู้เบ่ย กู้หลาน ลู่เพียว ได้มานั่งพูดคุยกับเนี่ยลี่ที่ตำหนักผู้นำนิกาย

“เจ้าจะให้พวกข้า ทำเรื่องใดกันหลังจากนี้”

กู้หลานถามขึ้นมา เมื่อเนี่ยลี่กลับมา นางก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรักษาการในตำแหน่งผู้นำนิกายอีกต่อไป

“ข้าคงต้องฝากให้พี่กู้หลาน ดูแลนิกายต่อไปอีก ข้านั้นจะออกเดินทางไปยังอาณาจักรกำแพงสวรรค์”

เนี่ยลี่มองไปที่กู้หลานและพูดขึ้นมา

อาณาจักรกำแพงสวรรค์ เป็นหนึ่งในเก้าอาณาจักร ซึ่งในอาณาจักรกำแพงสวรรค์ยอดฝีมือส่วนใหญ่ก็มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพสงครามขึ้นไป เนี่ยลี่ต้องการที่จะไปรวบรวมยอดฝีมือก่อนที่สงครามครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้น

“อาณาจักรกำแพงสวรรค์มันคือที่ใดกัน?”

ลู่เพียวถามด้วยความสงสัย

“เป็นอาณาจักรที่อยู่ทางเหนือของอาณาจักรซากมังกร ที่นั่นมีนิกายใหญ่เพียงแค่สองนิกายที่ถ่วงดุลอำนาจกันอยู่คือนิกายพิทักษ์สวรรค์ และนิกายอสูรฟ้า หากทั้งสองไม่ถ่วงดุลกันอยู่ อาณาจักรซากมังกรคงจะตกเป็นของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปแล้ว”

เนี่ยลี่อธิบาย

“แม้จะมีมนุษย์อยู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นมิตรกับพวกเราเช่นนั้นหรือ?”

ลู่เพียวถามต่อไปอีก

“นิกายพิทักษ์สวรรค์ แม้ว่าจะเป็นฝ่ายมนุษย์ แต่พวกเขาก็ไม่คิดที่จะช่วยเหลือผู้ใด ผู้ที่ระดับพลังต่ำกว่าเทพสงคราม จะไม่สามารถเข้าไปยังอาณาจักรกำแพงสวรรค์ได้”

เนี่ยลี่ตอบ

แต่ในชีวิตที่แล้วของเขา ก็มียอดฝีมือจากนิกายพิทักษ์สวรรค์ เข้าร่วมต่อสู้เคียงข้างเขา แต่ก็เป็นเพราะจักรพรรดิปราชญ์นั้นเป็นภัยอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ก็เท่านั้น

“เจ้าจะเดินทางเพียงลำพังเช่นนั้นหรือ?”

กู้เบ่ยพูดแทรกขึ้นมา

“ข้า พี่ยู่หยาน และเซี่ยวยู่ที่อยู่ในภาพจิตกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ และยังมีจินตานอีกด้วย”

“ขอให้พวกเจ้าคอยจับตาการเคลื่อนไหวของนิกายเทพอสูรให้ดี หากพวกนั้นคิดจะบุกไปนิกายใด ให้พวกเจ้าส่งกำลังไปช่วยเหลือในทันที”

เนี่ยลี่มองไปที่ทั้งสามคนและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“จริง ๆ แล้วข้าต้องการที่จะให้พี่กู้หลานไปหลบซ่อนอยู่ในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ แต่ข้ายังต้องขอให้ท่านดูแลนิกายไปก่อน เมื่อกลับมาจากอาณาจักรกำแพงสวรรค์ ข้าจะให้ท่านไปอยู่ข้างในนั้น”

เนี่ยลี่มองไปที่กู้หลานพร้อมกับถอนหายใจ ในตอนนี้ คนที่เขาเชื่อใจได้ยังมีน้อยเกินไป

“จริงสิเนี่ยลี่ เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่า พลังสัจธรรมแห่งความเที่ยงแท้นั้นสามารถทำสิ่งใดได้ และจะเอาชนะจักรพรรดิปราชญืได้หรือไม่?”

ลู่เพียวเอ่ยถามออกไป เขารู้เพียงแค่ว่าเนี่ยลี่รวบรวมพลังสัจธรรมได้แล้วถึงสามสิบห้าชนิด

“เดิมทีข้าสามารถใช้พลังสัจธรรมได้พร้อมกันสามชนิด ที่ข้าครอบครองอยู่ แต่เมื่อรวบรวมพลังสัจธรรมทั้งหมดเอาไว้ในดวงจิตของสัจธรรมแห่งความว่างเปล่าข้าจะเรียกใช้ได้เพียงหนึ่งพลังเท่านั้น หลังจากที่ได้พลังสัจธรรมแห่งความว่างเปล่า ข้าสามารถเรียกพลังสัจธรรมหลายชนิดมาใช้พร้อมกันได้ แต่ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะเรียกใช้พร้อมกันได้สูงสุดกี่ชนิด และดูเหมือนว่า จะสามารถใช้พลังสัจธรรมในตอนที่ผสานเข้ากับจิตอสูรตนอื่น ๆ ได้ด้วยเช่นกัน”

เนี่ยลี่ตอบกลับไป

เขานั้นยังไม่ได้ทดสอบการใช้พลังสัจธรรมแห่งความเที่ยงแท้ทั้งหมด แต่ดูเหมือนว่าพลังสัจธรรมแห่งความเที่ยงแท้จะเชื่อมต่อกับดวงจิตทั้งหมดที่อยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณของเขา

“แล้วเจ้าจะออกเดินทางเมื่อใดกัน?”

กู้หลานถามออกไปบ้าง

“พรุ่งนี้!”

เนี่ยลี่ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับไปที่พัก

ทางด้านเนี่ยลี่ก็เข้าไปยังตำหนักชมจันทร์และลองขยายพื้นที่ตำหนักชมจันทร์ออกไป เดิมทีตำหนักชมจันทร์มีความกว้างเพียงแค่ห้อง ๆ หนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อระดับพลังของเขาสูงขึ้น

เขาสามารถขยายพื้นที่ของตำหนักออกไป จนมีขนาดประมาณหมู่บ้านเล็ก ๆ สักแห่ง ที่สามารถสร้างบ้านได้หลายสิบหลัง เขาได้ทดลองใช้พลังสัจธรรมหลาย ๆชนิดในการปรับแต่งสภาพของตำหนักชมจันทร์

ในตอนนี้ตำหนักชมจันทร์ก็ราวกับเป็นโลกเล็ก ๆใบหนึ่งของเนี่ยลี่ ที่มีทั้งแม่น้ำ ภูเขา ต้นไม้ ใบหญ้า ขาดเพียงสิ่งมีชีวิตเท่านั้น

เช้าวันต่อมา เนี่ยลี่ออกเดินทางไปทางทิศเหนือ ด้วยระดับพลังในขั้นเทพสงคราม ทำให้เขาสามารถบินไปได้อย่างรวดเร็ว ยังไม่ข้ามวันเขาก็ไปถึงอาณาจักรกำแพงสวรรค์

อาณาจักรกำแพงสวรรค์นั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยกำแพงใหญ่ รอบทั้งอาณาจักร เป็นการป้องกันผู้ลักลอบเข้าไปยังอาณาจักร ตรงส่วนกลางของอณาจักรก็จะมีป่าขนาดใหญ่ คั่นอยู่ เป็นดั่งเส้นแบ่งดินแดนของนิกายพิทักษ์สวรรค์ และนิกายอสูรฟ้า แม้ว่าจะอยู่ในกำแพง แต่อาณาเขตของอาณาจักรกำแพงสวรรค์นั้นใหญ้เสียยิ่งกว่าอาณาจักรซากมังกรเสียอีก

เนี่ยลี่เดินไปยังประตูทางเข้า มีทหารยามยืนเฝ้าตรวจสอบอยู่ เป็นชายในชุดเกราะทหาร กลิ่นอายลมปราณที่แผ่ออกมานั้นดูเหมือนว่าเขาระดับพลังของเขาจะอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่ห้า

“ข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน”

ทหารยามจ้องมองหน้าเนี่ยลี่ เขาตรวจสอบระดับพลังของเนี่ยลี่นั้นเองก็อยู่ในระดับเทพสงคราม แม้ว่าจะสามารถผ่านเข้าประตูเมืองได้ตามกฏ แต่ก็การเข้าออกอาณาจักรแห่งนี้จะต้องจ่ายศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน

“ข้านั้นเป็นพ่อค้าจากอาณาจักรซากมังกร ข้าเพียงแค่เดินทางมาหาซื้อของวิเศษกลับไปขายที่อาณาจักรซากมังกรเท่านั้น”

เนี่ยลี่แกล้งทำตัวเป็นพ่อค้า เนื่องจากอาณาจักรกำแพงสวรรค์นั้นมีอาวุธและชุดเกราะวิเศษที่เหนือกว่าขั้นที่เก้า ที่เรียกได้ว่าระดับพระเจ้าอยู่เป็นจำนวนมาก

“ไม่คิดเลยว่าอาณาจักรเล็ก ๆ ของเจ้าจะมีพ่อค้ามีมีระดับพลังสูงถึงเพียงนี้”

ทหารยามนั้นยังไม่เชื่อคำพูดของเนี่ยลี่เท่าใดนัก

“และที่สำคัญอาณาจักรกำแพงสวรรค์ เราใช้ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ และ ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำในการซื้อขายเป็นหลัก เจ้านั้นจะมีเงินซื้อเช่นนั้นหรือ?”

ทหารยามอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พูดแทรกขึ้นมา ในอาณาจักรกำแพงสวรรค์ศิลาจิตวิญญาณมีค่าเพียงแค่เศษเงินเท่านั้น แม้จะใช้ซื้อของได้แต่ก็ต้องจ่ายครั้งละนับล้านก้อน จึงไม่มีผู้ต้องการเท่าใดนัก

ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำหนึ่งก้อนมีค่าเท่ากับศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณหนึ่งพันก้อน และ ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณหนึ่งก้อนมีค่าเท่ากับศิลาจิตวิญญาณหนึ่งพันก้อน ดังนั้น ศิลาแห่นแท้จิตวิญญาณทองคำหนึ่งก้อนมีค่าเท่ากับศิลาจิตวิญญาณหนึ่งล้านก้อน

จริง ๆ แล้วในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ มีทะเลสาบแห่งเทพขนาดกลางอยู่ ในบางครั้งมันก็สามารถสร้างศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำขึ้นมาได้ แต่ก็ได้เพียงแค่เดือนละไม่กี่หมื่นก้อนเท่านั้น ส่วนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณนั้น เนี่ยลี่มีอยู่หลายล้านก้อน ส่วนศิลาจิตวิญญาณธรรมดานั้นเนี่ยลี่มีอยู่นับไม่ถ้วนเลยทีเดียว

เนี่ยลี่หยิบศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณออกมาสองร้อยก้อน และส่งให้กับทหารยามทั้งสองคนละหนึ่งร้อยก้อน และพูดออกไปด้วยความสุภาพว่า

“ข้านั้นก็พอมีเงินหมุนเวียนอยู่บ้าง หากพวกท่านไม่รังเกียจก็โปรดรับไป ส่วนที่เกินจากค่าผ่านประตู คิดเสียว่าเป็นของขวัญจากข้า”

……………..จบตอน

แต่งโดย นายมะพร้าว

คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments