ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปบนเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างคฤหาสน์แห่งตระกูลไอเฟลเลต้ากับหมู่บ้านอิฟฟามีป่าอยู่
หากมีใครถามถึงสถานการณ์ภายในป่าตอนนี้ล่ะก็…
“อึก… อึกกก…”
มันเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
บ่อเลือดถูกสร้างมาจากศพอันไร้หัวของพวกนักฆ่า ซึ่งสามารถทำให้คนอื่นขนหัวลุกได้เลย
‘นี่ฉันฝันอยู่สินะ?’
เด็กชายได้เดินตรงมายังเขาขณะกวัดแกว่งดาบไปในอากาศ…
ซึ่งนี่มันน่าจะเป็นภาพที่ทำให้เทสเชื่อว่า ตัวเขานั้นต้องกำลังฝันอยู่แน่ ๆ
เด็กชายตรงหน้าเขาคือไรลีย์
เด็กชายผู้เกียจคร้าน และเฉื่อยชา ไม่ได้สนใจฐานะหัวหน้าสมาคมการค้าของเทสแม้แต่น้อย เขาค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ หลังจากที่สังหารคนไปนับไม่ถ้วน ราวกับว่าเป็นปีศาจ
“อีกแค่ 2 สินะ”
ไรลีย์พึมพำ
สิ่งที่เขาต้องการจะบอกก็คือ พวกเขานั้นเป็นรายถัดไป
ผู้เหลือรอดสองคนสุดท้าย นั่นก็คือ เทสและโอแรลีย์
“…!”
เทสกรอกตาไปมาหลังจากที่เขาได้สติกลับคืนมา
เช่นเดียวกับที่ไรลีย์ได้กล่าวไว้ รอบตัวพวกเขานั้นไม่หลงเหลือนักฆ่าอยู่อีกแล้ว
‘ฉันจะต้องมาตายแบบนี้ไม่ได้’
เพราะดูเหมือนว่าไรลีย์จะตั้งใจให้พยานทั้งสองไม่รอดไปอยู่แล้ว
นั่นคือสิ่งที่เทสเชื่อมั่น
และนั่นก็ไม่ใช่ในฐานะนักฆ่า แต่เป็นในฐานะพ่อค้าต่างหาก ดังนั้นแล้วเขาควรจะคิดให้มากกว่านี้
เขาต้องการมอบทุกสิ่งให้แก่ไรลีย์เพื่อร้องขอชีวิต
แต่ถ้าไม่ได้ล่ะก็ อย่างน้อยขอแค่บุตรสาวตนก็พอ…
“ร-”
พระเจ้าทรงช่วยเรางั้นหรือ?
ริมฝีปากของเทสค่อย ๆ ขยับอย่างช้า ๆ
เขาเริ่มพูดตะกุกตะกัก
“ท่านไรลีย์”
ไรลีย์ที่ยกดาบขึ้นสูงหมายจะฟัน ก็หยุดชะงักลง เมื่อได้ยินที่เทสกล่าวออกมา
“ด-ได้โปรด”
ไรลีย์หรี่ตาลง
เขากลืนน้ำลายเสียงดังเมื่อไรลีย์มองจ้องมา
ในฐานะหัวหน้าของสมาคมการค้าแล้ว เขาได้พบเห็นผู้คนมามากมาย แต่เขากลับไม่สามารถอ่านความคิดของเด็กชายผู้อยู่ตรงหน้าได้เลยซักนิด
ซึ่งตรงข้ามกับอายุของไรลีย์ เขากลับสามารถเห็นถึงวุฒิภาวะ และประสบการณ์ ภายใต้ดวงตาคู่นั้นได้อย่างชัดเจน
“ค-คุณจะฆ่าผมก็ได้”
เทสขยับสายตาไปด้านข้าง
เขามองไปยังลูกสาวที่อยู่ข้างหลังตน โอแรลีย์
เธอได้สร้างพายุเล็ก ๆ ขึ้นมา แต่เธอเป็นเพียงธิดาคนเดียวที่เขามี
“คุณจะฆ่าผมก็ได้ แต่ขอเพียงอย่างเดียว ขอให้บุตรสาวของผม… ได้โปรดปล่อยให้โอแรลีย์มีชีวิตต่อไปเถอะ”
เทสมองไปที่ไรลีย์และยอมรับความตายของตัวเอง ขณะริมฝีปากของโอแรลีย์สั่นด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะทำให้ร่างกายเป็นอัมพาต
“ฉันจะให้เวลา 5 นาที… ไม่สิ 4 นาทีก็พอมั้ง?”
ไรลีย์พึมพำกับตัวเอง มันเป็นการตอบสนองต่อคำขอร้องของเทส
เทสกระพริบตา เขาไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาจึงขอร้องอีกครั้งหนึ่ง
“อาจจะจริงที่ว่าเด็กคนนี้เป็นคนผิด แต่เธอไม่ได้แย่เท่าเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้เธอเป็นเด็กดีแล้ว ดังนั้น ได้โปรด ขอแค่-!”
ปล่อยให้บุตรสาวของผมมีชีวิตรอด
ได้โปรดปล่อยให้เธอมีชีวิตรอด
“เป็นไปตามที่คาดไว้เลยแฮะ”
ไรลีย์ตอบกลับมา
ตาของเทสสั่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ
เป็นไปตามที่เขาคาดไว้?
เขาคาดหวังอะไรไว้กัน?
“…”
หลังจากที่ไรลีย์ตอบกลับไป ดาบไม้ของเขาก็ได้ตวัดผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว
“…อึ๊ก”
“…อ๊า”
นี่มันคือความเมตตาที่มากที่สุดที่ไรลีย์จะสามารถให้ได้แล้ว
ไรลีย์ได้เลือกที่จะคร่าชีวิตทั้งสองพร้อมกัน โดยที่จะได้ไม่ให้ทั้งคู่ได้เห็นว่าใครต้องตายก่อน
‘จบสักที’
จากนั้นร่างของคนเป็นพ่อกับลูกสาว ก็ค่อย ๆ ล้มลงคุกเข่า และล้มลงขนานไปกับพื้นในที่สุด
สีหน้าของไรลีย์เริ่มที่จะมืดมน หลังจากที่เห็นร่างทั้งสองร่วงลงพื้น
ไรลีย์จ้องศพทั้งสองราวกับกำลังใคร่ครวญถึงบางสิ่ง จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปมอง
มันต่างจาก 5 นาทีที่แล้ว เพราะ ณ ตอนนี้บริเวณรอบ ๆ นั้นเต็มไปด้วยศพ
“ฟู่…”
ใบหน้าของไรลีย์แย่ลงขณะปักดาบไม้ลงบนพื้น
ไรลีย์นวดขมับของตนราวกับกำลังปวดหัว จากนั้นเขารีบเอามือไปปิดไว้ที่ปาก
“อุ๊บบบ…!”
จากนั้นจู่ ๆ ก็รู้สึกคลื่นไส้ และได้อาเจียนออกมา
แต่นี่ไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดกับสิ่งที่ได้ทำ
แต่เป็นเพราะเขาใช้มานามหาศาลในการหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดของพวกนักฆ่า เทส และโอไรลีย์
มันเป็นผลกระทบมาจาก ‘การยับยั้ง’ ที่ทำให้พลัง คิของเขาไหลผิดปกติ
“…แฮ่ก แฮ่ก”
ไรลีย์ที่อาเจียนป๊อปคอร์นที่เขากินก่อนหน้านี้ทั้งหมดลงบนพื้น หยุดมือของเขาที่กำลังจะเช็ดปาก
เขาคิดว่ามันอาจทำให้คนอื่นสงสัยได้ ถ้าหากว่าเขาทิ้งรอยแปลก ๆ ไว้บนเสื้อของเขา
‘เราสามารถบอกได้ว่าเสื้อผ้าพวกนี้มันขาดที่ห้องครัว แต่นี่มันไม่เหมือนกัน’
นอกจากรอยฉีกขาดบนเสื้อแล้ว เขาก็ไม่ได้มีเลือดไหลเลยซักนิด
เพื่อที่จะได้ไม่ทิ้งหลักฐานเอาไว้ เขาต้องทำให้แน่ใจว่าเขาจัดการกับรอยฟันที่เขาทำไว้กับพวกนักฆ่าเรียบร้อยแล้ว
เมื่อสะสางปัญหาทั้งหมดแล้ว หลังจากผ่านการต่อสู้ที่แสนยากลำบาก มันคงไม่น่าพิสมัยยิ่งนัก หากว่าเขาต้องมาถูกจับได้จากอาเจียนของตนเอง
‘ไม่สิ เราบอกได้นี่ ว่าเราป่วยเพราะกินเร็วเกินไป?’
มันไม่ใช่เลือดสักหน่อย
ขณะที่คิดเช่นนั้น พอเขามีเหตุผลมารองรับแล้ว เขาก็เริ่มเช็ดปากของตนด้วยแขนเสื้อ
“เอาเถอะ ร่างนี้แตกต่างจากร่างเก่าล่ะนะ แถมร่างนี้ยังเด็กเกินกว่าที่จะรับพลังของฉันได้ทั้งหมด… คงช่วยอะไรไม่ได้”
มือของไรลีย์สั่นเพราะผลกระทบจากการใช้พลังมากเกินไป
ไรลีย์เริ่มพูดกับตัวเองอีกครั้งขณะกำและแบมือสลับกัน
“นี่ก็เหมือนการทดสอบล่ะนะ… แต่ฉันคิดว่าคงจะใช้มานาไม่ได้ไปซักพัก ถ้าจะเคลื่อนไหวล่ะก็ ควรใช้แค่ดาบก็พอ”
ครั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามเป็นนักฆ่า
ไม่ใช่เพียงนักฆ่าเท่านั้น แต่พวกเขายังเป็นจ้าวแห่งการหลบหนีอีกด้วย เขาไม่สามารถทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้ได้ เพื่อที่จะได้รักษาความลับของเขาเอาไว้
มันค่อนข้างดูโหดร้าย แต่ทางที่ไรลีย์เลือกนั้นมีประสิทธิภาพที่สุดแล้ว
“ฉันน่าจะกลับได้แล้วสินะ?”
เขาได้วางแผนเรื่องการทำความสะอาดร่างกายไว้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงตรวจสอบตัวเองอีกครั้ง และเริ่มออกเดิน
“เอียนคงจะบ้าตายแล้วมั้ง”
ไรลีย์ยิ้มขม ๆ ขณะที่คิดในใจว่า‘คงต้องไปขอโทษแล้วล่ะ’
ลมหนาวยามค่ำคืนก็ได้พัดผ่านศพทั้งหลายที่อยู่ในผืนป่า
——————————————————————————————————————-
เมื่อเหตุการณ์การหายตัวไปของไรลีย์ได้เข้าหูของเคาท์สไตน์
เซร่าและเอียนที่พยายามจะไม่โกรธสไตน์ที่เพิ่งระเบิดอารมณ์ออกมาเพราะท่านหญิงโอไรลีย์ตะโกนเสียงดังและเริ่มทำเสียงอึกอัก
“บอกฉันมาช้า ๆ ชัด ๆ สิเอียน ว่าไรลีย์หายตัวไปงั้นเหรอ?”
“คือว่า…”
จากการที่ไรลีย์ได้รับการปฏิบัติอย่างกับขยะข้างถนนจากคนในคฤหาสน์
มันจะเกิดอะไรขึ้ถ้าหากคำว่า ‘ดูเหมือนว่าไรลีย์จะถูกลักพาตัวไปโดยนักฆ่า’ ได้พูดออกไป ในตอนที่เคาท์สไตน์กำลังฉุนเฉียว?
“…”
“…”
เอียนและเซร่าที่ไม่อยากคิดถึงผลที่ตามมา เลยได้แต่เงียบปากไว้ มองหน้าซึ่งกันและกัน
เดาว่าเคาท์สไตน์คงจะพูดแบบนี้ออกมาแน่ ๆ :
‘อะไรนะ? เขาถูกลักพาตัวไปโดยนักฆ่างั้นเหรอ? น่าสังเวชจริง ๆ ไม่ต้องไปตามหาเขาหรอก ตระกูลไอเฟลเลต้าไม่ต้องการสวะแบบนั้น’
…แล้วไรลีย์ก็จะโดขับไล่เช่นเดียวกับโอแรลีย์
ซึ่งหมายความว่า พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปช่วยนายน้อย
“คือว่า…”
เอียนที่มีความสามารถในการพูด ได้เริ่มเค้นสมองของตนอย่างหนัก เพื่อที่คิดว่าจะพูดอย่างไรดี
ฉันจะฝ่าวิกฤตินี้ไปได้ยังไงนะ?
แล้วฉันจะแก้ตัวยังไงดีล่ะ?
ขณะที่เขากำลังจะพูดด้วยริมฝีปากอันเหือดแห้งนั้นเอง…
“…นายเรียกฉันรึเปล่า?”
“…!?”
ก็ได้มีเสียงอันคุ้นเคยดังมาจากด้านหลังของเอียน