ตอนที่แล้วตอนต่อไป
“น… นายน้อยครับ?”
“ทำไมนายถึงได้มองแบบนั้นล่ะ?”
เอียนหันหลังและมองไปยังไรลีย์ที่มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของเขา
ไรลีย์ยักไหล่ให้กับเอียนและเซร่าที่มองมา พวกเขาทำตัวราวกับว่าเห็นผียังไงยังงั้น
“ดูเหมือนว่าพวกนายกำลังคุยเรื่องของผมอยู่นี่…”
ไรลีย์มองผ่านไหล่เอียนไปที่สไตน์
พ่อของเขายืนกอดอกพร้อมกับทำสีหน้าจริงจัง ราวกับว่ากำลังรำคาญอะไรสักอย่าง
“นายน้อยครับ!”
ใบหน้าของเอียนและเซร่าเข้ามาในสายตาของไรลีย์ ในขณะที่เขากำลังมองพ่อของตนอยู่
ไหล่ของไรลีย์สั่นเล็กน้อยจากการที่พวกเขารีบเข้ามาหา
“หือ? มีอะไรงั้นเหรอ?”
“น… นายน้อยไปอยู่ที่ไหนมาครับ!?”
“ใช่แล้วค่ะ! นายน้อยรู้ไหมคะ ว่าฉันกับคุณเอียนกังวลเรื่องนายน้อยมากแค่ไหน?”
ตอนนี้ใบหน้าของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความกังวลใจ
แต่สิ่งที่น่าขันก็คือ ท่าทางของเอียนและเซร่า ดันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ใบหน้าของเอียนนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดง ราวกับว่ากำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
ส่วนใบหน้าของเซร่านั้นกลายเป็นสีน้ำเงิน และเต็มไปด้วยความหวาดผวา
ริมฝีปากของไรลีย์เริ่มสั่น เพราะใบหน้าที่พวกเขากำลังทำอยู่ตอนนี้นั้น ต่างจากที่เขาคิดไว้ลิบลับ
“…ฮ่า ๆ ๆ !”
จู่ ๆ ไรลีย์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ราวกับว่าเขานั้นไม่รู้สึกถึงความกังวลของพวกเขาเลยสักนิด มือของเอียนที่กำลังหน้าแดงอยู่ สั่นริก ๆ ได้เปิดปากพูด
“ห-หัวเราะงั้นเหรอครับ? นี่นายน้อยหัวเราะอย่างงั้นเหรอครับ!?”
“นายน้อยคะ นี่ยังจะใช่เวลามาหัวเราะได้อีกเหรอคะ!?”
“ฮ่า ๆ ๆ ! ‘โทษทีนะ แต่ว่า… ตอนนี้หน้าของพวกนายนี่มันตลกจริง ๆ”
เซร่าพองแก้มด้วยความโกรธ
“หยาบคายค่ะ!”
“ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะหัวเราะได้อีกนะครับ… นี่นายน้อยกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่-”
รู้ไหมว่าหัวใจของผมเกือบหยุดเต้นมาแล้วกี่ครั้ง?
ในขณะที่ได้คิดว่า ถ้าหัวใจยังเต้นด้วยความเร็วขนาดนี้อยู่ล่ะก็…
ร่างกายของเอียนก็เริ่มส่งสัญญาณอันตรายออกมา
“…อึก!?”
เอียนได้รีบเอามือขวาไปจับที่ท้ายทอยตนทันที
“ค-คุณเอียนคะ!”
“เอียน!”
มีคำกล่าวไว้ว่า ‘เวลานั้น จะเก็บค่าผ่านทางจากทุกคน’
ขณะที่เอียนกำลังจะหมดสติและล้มลง เพราะไม่สามารถทนกับความตื่นเต้นของเรื่องในวันนี้ได้ เซร่าที่อยู่ข้าง ๆเอียนก็รีบพุ่งตัวเข้าไปช่วย
“ข-เขาเป็นอะไรมากไหม?”
ไรลีย์ที่แลดูกังวล ก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับถามเซร่า
เซร่าเองก็ช่วยประคองตัวเอียนและลองตรวจสอบชีพจรของเขาดู จากนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมา ด้วยความโล่งอก เพราะได้ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้แล้ว
“เฮ้อ เขาแค่หมดสติไปน่ะค่ะ…”
พ่อบ้านแก่ ๆ คนหนึ่งที่พ่นคำสถบราวกับว่าเป็นกุ๊ยข้างถนนในตอนไม่มีใครเห็น เป็นลมไปเพราะเจ้านายตนเองหัวเราะเนี่ยนะ?
เซร่าที่ตกใจจนลืมที่จะดุไรลีย์ ก็ค่อย ๆ หันไปมองที่ด้านหลังเธอ
“…”
เพราะเคาท์สไตน์ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
เซร่าแสดงความเคารพด้วยการน้อมตัวลง
เพื่อเป็นการขออภัยให้กับกิริยาที่น่าละอายของเอียน
“ไรลีย์”
“ครับ”
ในการตอบสนองต่อเสียงเรียกของสไตน์ ไรลีย์หุบยิ้มตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และตอบกลับไปในทันที ซึ่งนี่มันไม่เหมือนกับตัวเขาในยามปกติ
เป็นเพราะเขาคิดว่า ถ้าพ่อของเขาโกรธตอนนี้ล่ะก็มันคงน่ารำคาญน่าดู
“นั่นมันอะไร?”
“หือ? อ๊ะ นี่เหรอครับ?”
สไตน์ถามถึงถุงกระดาษที่ไรลีย์ถือไว้ในมือซ้าย
ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน เพราะมีเสียงดังออกมาตอนมันขยับ
สิ่งนั้นก็คือ…
“มันคือป๊อปคอร์นน่ะครับ”
“ป๊อป… คอร์น?”
สไตน์ถึงกับเอียงหัวเมื่อเขาได้ยินคำที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“มันเป็นขนมขบเคี้ยวที่ทำจากข้าวโพดน่ะครับ แล้ววันนี้ผมก็อยากกินขึ้นมาพอดี เลยไปทำเอาไว้นิดหน่อย และก็ตั้งใจจะเอาไปให้ท่านแม่ลองทานดู… หรือท่านพ่อก็อยากลองทานเหมือนกันเหรอครับ?”
“นายน้อยคะ… เพื่อสิ่งนั้นแล้วนายน้อยถึงกับต้องไปที่ครัว…”
เซร่าที่กำลังประคองเอียนเห็นไรลีย์ถือถุงป๊อปคอร์นด้วยใบหน้าไร้เดียงสา ก็พึมพำด้วยความเศร้าเล็กน้อย
ความคิดที่ว่า ‘ดีแล้วล่ะที่คุณเอียนหมดสติไป’ แล่นเข้ามาในหัวเธอ
เพราะมันดูเหมือนว่า เรื่องนี้คงไม่จบง่าย ๆ หากเขายังมีสติอยู่
“แต่ตอนที่ฉันไปที่ห้องครัว ฉันก็ไม่เห็นใครเลยนะคะ… เดี๋ยวนะคะนายน้อย นั่นมันอะไรกันคะ?”
เธอเอียงหัวด้วยความสงสัยขณะที่พูดออกมา
เพราะมันดูเหมือนมีคราบสกปรกอะไรบางอย่างอยู่บนแขนเสื้อของไรลีย์
“อ้อ นี่มัน… เพราะฉันกินเร็วมากไปหน่อยน่ะ ก็เลยเผลออ้วกออกมาจนได้”
ไรลีย์ตอบด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับกำลังอายอยู่ พร้อมกับหลบสายตาจากเซร่า
จากนั้นก็ยังเสริมไปอีกว่า ‘ก็เลยเช็ดปากด้วยเสื้อ’ ออกมา และรีบขอโทษก่อนที่จะโดนเซร่าดุ
“บางทีเธอคงจะคิดถึงตอนที่ฉันอยู่ในห้องน้ำสินะ ขอโทษนะ ที่ฉันพยายามกินมันคนเดียวให้หมด”
“นายน้อยไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกค่-”
“…พอได้แล้ว”
เธอโดนขัดก่อนที่เธอจะพูดกับไรลีย์จบ
คนที่ขัดเธอก็คือ สไตน์ ที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างหลังเธอนั่นเอง
“เธอกลับไปที่ห้องได้แล้ว เซร่า”
“แต่ว่า…”
เซร่าเม้มริมฝีปากเพราะกังวลว่าไรลีย์จะโดนท่านเคาท์ลงโทษอย่างหนัก
เธอเริ่มกระวนกระวายเพราะอยากจะอยู่และช่วยพูดปกป้องนายน้อยของเธอ แต่สไตน์ก็ไม่มีทางที่จะให้เธอทำอย่างงั้น
“เธอคงจะไม่แบกเอียนไปตลอดหรอก ใช่ไหม?”
“…”
เซร่ากรอกตามองสไตน์ที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นก็ตามด้วยไรอัน และลอยด์ ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
โดยเฉพาะสายตาของสองพี่น้องนั้น มันดูอันตรายกว่าสไตน์มาก
คงเป็นเพราะการที่ท่านหญิงโอแรลีย์โดนขับไล่ออกจากคฤหาสน์ก่อนหน้านี้แน่ ๆ
“ใช่ไหมล่ะ?”
สไตน์ย้ำคำถามกับเซร่าอีกครั้ง
“…”
ด้วยความเป็นห่วง
แม้ว่าเธออยากจะอยู่ช่วย
แต่ว่า… เธอเองก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของเจ้านายเธอได้
…ต่อให้นายน้อยของเธอต้องเจ็บปวดเพราะการกระทำของเธอก็ตาม
“…รับทราบค่ะ”
สุดท้าย เซร่าก็พยักหน้าตอบรับและเริ่มขยับออกไป
“นายน้อยคะ ได้โปรดอย่าไปโกรธพวกเขามากเลยนะคะ… นายน้อยรู้ใช่ไหมคะ ว่าดิฉันหมายถึงอะไร?”
ขณะที่เดินผ่าน เซร่าก็กระซิบกับไรลีย์
ไรลีย์ตอบเธอว่าไม่เป็นไรด้วยรอยยิ้มอันแจ่มใส
“…ไรลีย์”
หลังจากเซร่าจากไป ไรลีย์ที่ยืนอยู่ลำพังบนทางเดินก็ได้หยุดยิ้ม และตอบกลับด้วยใบหน้าจริงจัง
“ครับ”
“ฉันได้ยินมาว่า ‘กระดาษ’ ที่เอียนเอามาให้ฉัน… แกเป็นคนพบมันสินะ”
ยังไงมันก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรอยู่แล้ว ไรลีย์จึงตอบไปแบบตรง ๆ
“ใช่แล้วครับ”
ไรลีย์ยืนเอามือไขว้หลังไว้ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูดสุด
พอไรลีย์ขยับมือก็จะมีเสียงป๊อบคอร์นดังออกมา
“แก…”
ราวกับว่ากำลังรำคาญเสียงของป๊อปคอร์น บุตรชายคนที่สองก็ก้าวมาข้างหน้าด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
“ท่านแม่ของพวกเราเพิ่งจะโดนขับไล่ไปแท้ ๆ แกกลับมีหน้ามากินขนมอีกเรอะ!?”
‘ท่านแม่’
ถ้าพูดถึงแม่ล่ะก็ ลอยด์คงจะหมายถึงโอแรลีย์ ที่ไรลีย์เพิ่งจะ ‘จัดการ’ ไป
ดูเหมือนพวกเขาจะลืมว่าเธอนั้น ชอบหายตัวไปอยู่คนเดียว แต่ไรลีย์ก็ได้วางแผนแสร้งทำเป็นไม่รู้ไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาก็เบิกตากว้างแล้วตอบกลับไป
“ข-ขับไล่? ท่านหญิงโอแรลีย์น่ะหรอ?”
“อย่ามาทำเป็นโง่นะ ไรลีย์!”
“ไม่ใช่นะ มันเกิดอะไรขึ้-”
“ไรลีย์!!!!!!!!”
“…”
ไหล่ของไรลีย์ที่กระตุกนั้น ราวกับว่าได้ตกใจเสียงตะโกนของลอยด์ที่เปี่ยมไปด้วยความเดือดดาล
ถ้ามีคนที่ไม่รู้จักไรลีย์มาเห็นฉากนี้ล่ะก็ เขาก็คงคิดว่า ไรลีย์นั้นเป็นเด็กขี้เกียจคนหนึ่งที่กำลังหวาดกลัวพี่ชายตนอยู่เท่านั้นเอง
“กระดาษนั่นน่ะ แกเป็นคนเขียนขึ้นมาเองใช่ไหม?”
แต่ว่า…
กับลอยด์ที่ตอนนี้คงจะเป็นบ้าไปเพราะความโกรธ ไม่ว่าจะเหตุผลหรือตรรกะอะไรก็คงจะไม่ได้ผล