ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“ข-เขียนขึ้นมาเองงั้นเหรอ?”
ไรลีย์รีบส่ายหน้า และมองไปหาสไตน์ที่ยืนอยู่ข้างลอยด์ด้วยใบหน้าซีดเซียว
ใบหน้าของไรลีย์นั้นเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา
“ใช่แล้ว! แกนั่นแหละที่เป็นคนเขียนกระดาษนั่น-”
ราวกับว่าได้ตอบรับคำพูดนั้น สไตน์ก็พูดขัดขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว
“พอได้แล้ว”
ดูเหมือนว่าลอยด์ยังมีสิ่งที่จะพูดมากกว่านี้ เขาพูดออกมาในขณะที่ชี้นิ้วไปที่ไรลีย์
“แต่ท่านพ่อครับ! มัน-!”
“ฉันจะไม่พูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง ลอยด์”
“อึก…”
เมื่อเขาไม่สามารถที่จะต่อว่าไรลีย์ได้อีก เพราะพ่อของเขานั้นเข้ามาขวางไว้ ใบหน้าของลอยด์ก็เริ่มบิดเบี้ยวราวกับว่าได้กินสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เข้าไป
“ไรลีย์”
“ครับ ท่านพ่อ”
“ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว กลับไปที่ห้องของแกซะ”
ไรลีย์ได้ยินเสียงขบฟันจากด้านข้างของสไตน์
ถ้าลองมองจากสถานการณ์แล้วคงเป็นใครไปไม่ได้ ลอยด์นั่นเอง
“และก็…”
“…?”
ขณะที่ไรลีย์กำลังจะเดินกลับห้องหลังจากที่กล่าวลาแก่พ่อและพี่ชายทั้งสอง เขาก็ต้องหยุดเดินแล้วหันกลับมามองที่สไตน์
“พรุ่งนี้ฉันมีเรื่องที่ต้องคุยกับแก พอหลังจากตื่นแล้วก็มาที่ห้องทำงานของฉันด้วยล่ะ”
หลังจากที่ตื่น…
สไตน์สั่งให้ไรลีย์ไปหาเขา ‘ในตอนที่ตื่น’
ที่เขาไม่เลือกให้มาพบในตอนเช้าคงเป็นเพราะว่า เขาคงรู้ดีว่าไรลีย์นั้นเป็นคนที่ตื่นสายที่สุดในคฤหาสน์แล้ว
“ครับ”
ไรลีย์ตอบกลับไป
ให้ไปพบทำไมงั้นเหรอ? เขาอยากจะถามแบบนั้นออกไป
หลังจากที่ได้เสร็จงานจากข้างนอก เขาก็ไม่อยากจะคุยกับใครอีกแล้ว
เขาแต่ต้องการไปนอนที่เตียงของเขาให้ไวที่สุดก็เท่านั้น
สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกรำคาญ ก็คงจะเป็นความโกรธของลอยด์
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
ไรลีย์โค้งตัวอีกครั้งให้แก่พ่อและพี่ชายของตน
แม้เซร่าจะกังวล แต่การปะทะกันของเหล่าพี่น้องก็ไม่เกิดขึ้น
“…แล้ว ท่านพ่อคิดว่ายังไงครับ?”
เมื่อไรลีย์หายไปจากทางเดิน ตอนนี้เหลือกันเพียง 3 คน บุตรชายคนโตไรอันก็ถามสไตน์ขึ้นมา
เกี่ยวกับเรื่องของไรลีย์
“แล้วแกล่ะ คิดว่ายังไง?”
สไตน์ไม่ได้ตอบ และถามกลับ
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ไรอันก็ตอบกลับไปขณะที่มองแผ่นหลังของไรลีย์ที่ค่อย ๆ ห่างออกไป
“ผมไม่คิดว่า… เขาจะโกหกพวกเราครับ”
ที่ไรอันพูดเช่นนี้ก็เพราะความไร้เดียงสาของไรลีย์
ลอยด์ ที่ไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้ กล่าวขึ้นมา
“ท่านพี่!”
ลอยด์ที่ไม่เชื่อในการพิจารณาของไรอันก็พูดออกมาพร้อมกับกำหมัดแน่น
“การอ่านสายตาเป็นความสามารถของนักดาบที่ยอดเยี่ยมพึงมีนะครับ! ท่านพี่ต้องแยกแยะความจริงออกจากคำโกหก มันจะสามารถช่วยให้ท่านพี่อ่านการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้ และวางแผนการเคลื่อนไหวล่วงหน้าได้นะครับ”
ไรอันได้ส่งสายตาเย็นชาไปที่น้องชายของตน
“การสูญเสียท่านแม่ไปนั้น… มันคือ ความโชคร้าย พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้ เราต้องไม่ปล่อยให้เมฆหมอกแห่งคารมณ์มาควบคุมการตัดสินใจของเรา และการปล่อยให้นักฆ่าเข้ามาในตระกูลไอเฟลเลต้าได้นั้น ด้วยความจริงข้อนี้มันทำให้ฉันรู้สึก… ละอายใจจริง ๆ ฉันอยากจะขอบคุณไรลีย์ด้วยซ้ำ”
“ท่านพี่! ทำไมท่านถึงพูดแบบนั้นล่ะ!”
“แล้วนายจะบอกว่าฉันพูดผิดหรือไง? นายไม่อยากให้ความจริงเหล่านั้นปรากฏออกมางั้นเหรอ?”
ลอยด์ก้มหน้าพร้อมกับมือที่กำลังสั่น
เขาไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้
“นั่นไม่ใช่ประเด็นนะครับ ไรลีย์มัน…”
“ฮึ นายจะบอกว่าสิ่งที่ฉันได้เห็นเป็นเรื่องโกหกงั้นเหรอ? นายอยากจะบอกเช่นนั้นสินะ?”
“…”
“ลอยด์ ยังไงเรื่องนี้มันก็ต้องปรากฏขึ้นมาสักวัน ดีแล้วที่มันถูกเปิดเผยออกมาตอนนี้ ไม่มีสิ่งใดที่นายสามารถเก็บเป็นความลับไว้ได้ตลอดไปหรอกนะ”
“แต่ท่านพี่ แล้วท่านแม่ล่ะ… ท่านแม่ของพวกเราล่ะ!?”
ลอยด์ที่อยากจะสวนกลับไป ก็เงียบปากลง
ถึงจะไม่เหมือนกับลอยด์ แต่ไรอันก็โกรธมากเช่นกัน
โกรธที่แม่ของเขาเป็นนักฆ่า
โกรธที่ลอยด์ไม่ฟังคำพูดของเขา
“ตอนนี้แกยังยืนอยู่หน้าท่านพ่ออยู่นะ”
คำพูดสุดท้ายที่ไรอันพูดออกมานั้นคือคำเตือน
เมื่อลอยด์ได้ยินเสียงเตือนเบา ๆ ของพี่ชาย เขาจึงข่มความโกรธและเงียบปากลง
สิ่งที่เขาสามารถทำได้คือกัดริมฝีปากด้วยความเดือดดาลเท่านั้น
“ถ้าหากว่าแกยังทำตัวเหมือนเด็ก ๆ แบบนี้อยู่ล่ะก็ ชั้นแนะนำให้ทำตัวเงียบ ๆ ไว้จะดีกว่านะ มันมีคำกล่าวที่ว่า ‘การอยู่เฉย ๆ ก็สามารถทำให้ไปถึงครึ่งทาง’ ได้อยู่”
“…”
พี่ชายที่ปกติจะอ่อนโยนกลับดูเข้มงวดขึ้นมา
เมื่อความรู้สึกของการถูกทรยศ ความหงุดหงิด และความโกรธ ทำให้หัวใจของเขาเต้นเร็วกว่าที่เคย
ลอยด์ได้กุมหน้าอกของตนเองเอาไว้และก้มหน้าลง
มันเป็นการยอมรับคำเตือนและทำตัวให้สงบเสงี่ยม
“ก่อนอื่น ฉันเองก็คิดเหมือนกับลอยด์ ดูเหมือนไรลีย์มันจะไม่ได้โกหก”
สไตน์ที่เฝ้ามองความตีงเครียดระหว่างทั้งสอง ก็กล่าวออกมา
เขาไม่เห็นคำโกหกใด ๆ ในดวงตาของไรลีย์แม้แต่น้อย
“แต่…”
“…?”
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”
สไตน์ที่มองไปยังทางที่ไรลีย์เดินจากไป ก็ส่ายหัวพร้อมกับหันหลัง
———————————————————————————————————————
“…ท่านพี่ครับ”
ลอยด์เรียกไรอันที่อยู่ข้างหน้าเขา
แม้ว่าเขาจะรู้สึกโกรธจากเรื่องเมื่อกี้มาก่อน แต่ไรอันก็หยุดเดินแล้วหันกลับมามองน้องชายตน ราวกับว่าเขาไม่อยากที่จะเมินน้องชายของตนเอง
“ท่านพี่คิดว่าท่านแม่ผิดจริง ๆ เหรอครับ… ท่านพี่คิดแบบนั้นจริง ๆ เหรอครับ?”
ไรอันที่ตอบสนองต่อคำพูดที่สั่นเครือของลอยด์ จากใบหน้าแข็ง ๆ ของไรอันก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน จากนั้นก็เดินตรงไปหาลอยด์
ไรอันได้ยกมือขวาขึ้นมา
“อึ๊ก!?”
‘ท่านพี่จะทำร้ายเรางั้นเหรอ?’
เขาหลับตาลงพร้อมกับคิดว่าจะโดนตบเข้าที่หน้า แต่หลังจากนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ ก็มีมือมาวางลงบนหัวของเขา
“ลอยด์เอ๋ย…”
“ท่านพี่?”
ไรอันพูดขึ้นมาขณะลูบหัวน้องชายตน
ด้วยถ้อยคำอันอ่อนโยนของไรอัน ทำให้ลอยด์ถึงกับอ้าปากค้าง
“ตำแหน่งผู้สืบทอดน่ะ มันยังไม่ถูกตัดสินหรอก”
ตำแหน่งผู้สืบทอดแห่งตระกูล…
เรื่องนี้เคยถูกพูดถึงมาก่อนแล้ว แต่ไรอันกลับกล่าวว่า ‘ตำแหน่งผู้สืบทอดแห่งตระกูลไอเฟลเลต้ายังไม่ถูกตัดสิน’
อาจเป็นเพราะสไตน์ยังมีสุขภาพแข็งแรงดี แต่มีบางคนสันนิษฐานว่าสไตน์ยังคาดหวังกับบุตรชายคนที่สามอยู่
“หลังจากการคัดเลือกตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลแล้ว พวกเรายังสามารถแก้ไขสถานการณ์ของท่านแม่ได้อยู่”
“ท่านพี่… แล้วหลังจากนั้น?”
“ใช่”
หลังจากที่พูดคุยกันไปเรื่อย ๆ ถ้าจะให้สรุปคำพูดของไรอันไว้ให้เหลือเพียงประโยคเดียวล่ะก็…
เขาจะเอาชนะในการแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอด
เขาได้วางแผนที่จะเคลื่อนไหว หลังจากที่ได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดแห่งตระกูลไอเฟลเลต้าเอาไว้แล้ว
“ท่านพี่…!”
ดวงตาสีเขียวของลอยด์เริ่มเปล่งประกาย
ไรอันหัวเราะเบา ๆ ให้กับแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความเคารพของน้องชายตน
“ฉันไม่ยกตำแหน่งผู้นำตระกูลให้ไรลีย์แค่เพียงเพราะฉันโกรธท่านพ่อหรอกนะ มันก็จริงที่ว่าเขานั้นเป็นคนที่ขึ้เกียจเอามาก ๆ แต่พวกเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านพ่อนั้น ยังคงเห็นความสามารถในตัวเขาอยู่”
มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าทั้งสองคนจะโดนขับไล่เพราะโอไรลีย์ แต่ก็ยังโชคดีที่พวกเขายังสามารถอยู่ต่อในคฤหาสน์นี้ได้ เพราะพวกเขาได้เรียนวิชาดาบของตระกูลไปแล้ว
พวกเขายังไม่ถูกตัดสิทธิ์ในการแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอด ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นเพื่อให้ได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดมา
“เอาไว้ค่อยคิดถึงเรื่องของท่านแม่หลังจากตอนนั้นเถอะ”
“ครับท่านพี่… รับทราบครับ!”
ลอยด์พยักหน้าสองครั้งพร้อมพูดคำเหล่านั้นออกมา
เช่นเดียวกับน้องชายของเขา ที่มีอารมณ์พุ่งพล่านในจิตใจ ไรอันก็ก้มหน้ามองไปที่พื้น
“…”
ในตอนนั้นรอยยิ้มอันอ่อนโยนของไรอันก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันน่ากลัวอย่างรวดเร็ว
———————————————————————————————————————
วันถัดมา…
หลังจากเวลาอาหารกลางวัน ในบ่ายแก่ ๆ ไรลีย์ได้ขยี้ตา และส่ายหัวซ้ายทีขวาที ขณะยืนอยู่หน้าห้องทำงานของสไตน์
ด้านข้างของเขาคือเอียนทีเหงื่อไหลไม่หยุด
“นายน้อยครับ นายน้อยยังง่วงนอนอยู่อีกเหรอครับ! ตื่นได้แล้วครับ!”
“อ่า รู้แล้ว ๆ เฮ้อ… ฉันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ”
ไรลีย์บ่นว่าเขานั้นได้นอนแค่นิดเดียว เพราะจนกว่าท่านแม่จะดุเสร็จก็จะยังไม่สามารถนอนได้
“นายท่านสั่งให้นายน้อยมาหาท่านเป็นการส่วนตัว เฮ้อ ตอนนั้นผมไม่ควรลดการป้องกันเลยจริง ๆ … เวรเอ๊ย”
ไรลีย์ที่ไม่อยากฟังคำบ่นของเอียน ก็ยื่นมือไปจับลูกบิดประตู
ตามที่สัญญาไว้ ไรลีย์ได้มาที่ห้องทำงานของสไตน์ทันทีที่เขาตื่น
“นายน้อยครับ นี่อาจเป็นโอกาสก็ได้นะครับ ท่านหญิงโอแรลีย์ถูกขับไล่จากคฤหาสน์ไปแล้ว ในที่สุดท่านก็สามารถที่จะขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งผู้สืบทอด-”
ก๊อก ก๊อก
ก่อนที่เอียนจะพูดจบ ไรลีย์ก็เคาะประตูด้วยมือของเขาแล้ว
“เข้ามาได้”
ดูเหมือนว่าเสียงเคาะประตูจะส่งไปถึงเขา สไตน์ก็ตอบกลับมาจากข้างใน
“ขออนุญาตครับ”
“น-นายน้อยครับ!”
ขณะที่กำลังจะบิดลูกบิด ไรลีย์หันมามองชายแก่ที่เรียกเขา
‘ขอให้ท่านโชคดีครับ!’
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่เขาก็ขยับริมฝีปากเป็นคำ ๆ นี้ พร้อมกับยกมือขึ้นมากำหมัดให้แก่ไรลีย์
มันเป็นท่า ไฟท์ติ้งโพส
ไรลีย์ส่ายหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น และเดินเข้าไปในห้องทำงาน โดยไม่สนใจเอียนอีก
“ไรลีย์”
เมื่อไรลีย์เดินเข้ามาในห้อง สไตน์ที่เขียนเอกสารบนโต๊ะทำงาน ก็ได้เรียกเขาโดยที่ไม่หันมามอง
“ครับ”
เขาอยากจะพูดอะไรกันแน่นะ?
ไรลีย์ตอบกลับไปทันที และรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เขาทำเป็นเกาแก้มตัวเอง
“ออกจากคฤหาสน์นี้ไปซะ”
“หะ?”
ท่ามกลางกองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะทำงาน เขาหยิบเอกสารใบหนึ่งมาไว้ในมือ หลังจากที่เขียนอะไรบางอย่างลงไปก็ยื่นให้ไรลีย์
“…นี่มัน?”