ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป….
….
….
เย่ ซิงหยู่ สะดุ้งตกใจเล็กน้อยเขากำลังจะถามต้นตอของเสียงว่าเพราะอะไรถึงได้ห้ามเขาไว้ เขาในตอนนี้ลอยอยู่เหนือพื้นราว 30 เมตร พร้อมๆกับที่มีเสียงของวัตถุบางอย่างพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า โซ่ตรวนสีดำจากพื้นและกำแพงก็ปรากฏขึ้นและพันธนาการตัว เย่ ซิงหยู่ ไว้แน่น…
“อั๊ค….” เย่ ซิงหยู่ หายใจแรง เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายจนทะลุไปถึงจิตวิญญาณของเขาเลยทีเดียว ราวกับว่ากระดูกทั้งหมดในร่างกายของเขาได้หักเป็นท่อนๆ มันเจ็บปวดจนทำให้เขาไม่สามารรวบรวมพลังงานปราณหยวนได้อีกต่อไป เขาตกลงมากระแทกที่พื้นด้านล่างอย่างรุนแรง
ต้องขอบคุณกล้ามเนื้อและกระดูกอันแข็งแกร่งของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายของเขาได้รับการชำระล้างจนบริสุทธิ์แล้ว เขาคงกลายเป็นชิ้นเนื้อเละๆในตอนที่ตกกระแทกพื้นเป็นแน่
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ…..” เสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากลานข้างๆอย่างเต็มเสียงราวกับเสียงของฟ้าผ่า เขาไม่ได้พยายามที่จะกลั้นหัวเราะต่อความโชคร้ายของ เย่ ซิงหยู่ เลยแม้แต่น้อย
เย่ ซิงหยู่ ลุกขึ้นยืนและถูไปที่หลังของเขา นอกจากที่เขาจะตกใจและรู้สึกโกรธเคืองแล้ว เขายังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ กำแพงของลานนี้เต็มไปด้วยม่านพลังที่ป้องกันเสียงจากภายนอกไม่ให้ลอดเข้ามา แต่ทว่าเขากลับได้ยินเสียงหัวเราะของคนๆนี้ได้อย่างชัดเจน คนที่กำลังหัวเราะอยู่นั้นจะต้องเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว
ที่หัวของ เย่ ซิงหยู่ มีโซ่ตรวนที่กำลังสั่นอยู่เบาๆแล้วค่อยลอยหายออกไป เย่ ซิงหยู่ สำรวจสิ่งนั้นอย่างละเอียดแล้วเขากลับพบว่าสิ่งที่เห็นอยู่นั้นมันไม่ใช่ ‘โซ่ตรวน’ เลย มันคืออักขระโบราณสีดำที่มารวมตัวกันหนาแน่นจนกลายเป็นลำแสงสีดำ มันดูเหมือนกับว่าเขาจะลอยตัวสูงไปจนทำให้อักขระเหล่านั้นทำงานขึ้นจนทำให้เขาตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง มันเป็นประสบการณ์ที่ช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
“ให้ตายเถอะ รอให้ข้าแข็งแกร่งมากกว่านี้ก่อน ข้าจะทำลายอักขระพวกนี้ให้สิ้นซากเลย…โอ้ย โอ้ย ทำไมมันเจ็บขนาดนี้นะ” เย่ ซิงหยู่ พูดออกมาด้วยความโกรธ
เสียงจากกำแพงอีกด้านหนึ่งดังขึ้นมาอีกครั้ง “ดีมากเจ้าเด็กน้อย เจ้ากับข้านี่ช่างมีนิสัยที่คล้ายกันเสียจริง เจ้าเป็นคนทะเยอทะยาน ข้าชอบเจ้า”
เย่ ซิงหยู่ ยังคงหายใจถี่ด้วยความเจ็บปวด และหลังจากที่เขาฟื้นจากอาการบาดเจ็บแล้วเขาก็เกิดความสงสัยขึ้น เขาตะโกนเสียงดัง “เจ้าคนที่อยู่ด้านหลังกำแพงหน่ะ เจ้าเป็นใครกัน? ทำไมเจ้าถึงหัวเราะกับความเจ็บปวดของข้าซะเสียงดังขนาดนั้น?”
ครั้งนี้ไม่มีเสียงตอบกลับ
เย่ ซิงหยู่ อึ้งไปและตะโกนเสียงดังถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ก็ยังคงไม่มีเสียงตอบกลับ
“บ้าจริง หรือว่าเขาจะหูหนวก?” เย่ ซิงหยู่ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยแต่ก็คิดว่าคงไม่มีการพูดคุยอะไรกันต่อจากนี้แล้วเขาจึงไม่ได้ถามอะไรอีก เขาเริ่มนั่งในท่าทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังงานปราณหยวนที่เขาได้ใช้ไปตอนที่พยายามจะลอยตัวและคอยควบคุมวัตถุต่างๆเมื่อซักครู่นี้
ในการทดลองเมื่อครู่นี้ เย่ ซิงหยู่ ได้ใช้พลังงานปราณหยวนจากจิตก่อเกิดในร่างกายของเขาไปมากกว่าหนึ่งในสี่ส่วน มันกินพลังไปไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่เพียงครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นพลังงานปราณหยวนทั้งหมดในร่างกายของเขาก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ในครั้งนี้มีบางอย่างที่เขาไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น ทันทีที่ระดับปราณหยวนของเขากลับสู่สภาวะที่เขาพอใจแล้ว เย่ ซิงหยู่ ก็รู้สึกถึงความร้อนที่เกิดขึ้นในจิตใจของเขา โดยที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัวทะเลแห่งจิตของเขาก็ส่องแสงสีทองสว่างขึ้น หนังสือสัมฤทธิ์เริ่มทำงานขึ้น มีเสียงของนกดังก้องกังวานขึ้นราวกับว่าหนังสือเล่มนั้นมันมีชีวิต
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เย่ ซิงหยู่ ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในตอนนี้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหมอกจากจิตก่อเกิดที่อยู่ในตันเถียนของเขาเริ่มควบคุมไม่ได้ มันกระจายไปทั่วร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดมันก็เปลี่ยนเป็นไอร้อนและพุ่งเข้าที่ทะเลแห่งจิตวิญญาณของเขาและซึมเข้าไปในหนังสือสัมฤทธิ์เล่มนั้น
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เย่ ซิงหยู่ ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย
ภายในเวลาพริบตาเดียว พลังงานจากจิตก่อเกิดจำนวนครึ่งหนึ่งก็ถูกหนังสือสัมฤทธิ์เล่มนั้นดูดกลืนเข้าไปและดูเหมือนว่ากระบวนการนี้มันจะเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ เย่ ซิงหยู่ กำลังตกใจอยู่นั้น เขาก็พยายามที่จะหยุดพลังงานปราณหยวนเหล่านั้น เขาหวังว่าพลังงานปราณหยวนจากจิตก่อเกิดของเขาจะหยุดไหลออกไปภายนอกเสียที สำหรับผู้เชี่ยวชาญในขั้นจิตก่อเกิดแล้วนั้น ปราณหยวนในจิตก่อเกิดของพวกเขาถือเป็นสิ่งเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ามันเหือดแห้งไปจนหมดสิ้นแล้วไม่เพียงแต่ผู้ฝึกยุทธ์จะไม่สามารถสร้างมันเพิ่มขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง มันอาจจะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์สูญเสียพื้นฐานของการบ่มเพาะพลังยุทธ์ทั้งหมดไปอีกด้วย
พลังในการดูดกลืนของหนังสือสัมฤทธิ์เล่มนั้นมันรุนแรงมาก ไม่ว่า เย่ ซิงหยู่ จะพยายามขัดขืนเพียงใด หรือแม้แต่การใช้ทักษะการเดินลมปราณไร้นามป้องกันการดูดกลืนมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ราวกับว่าจิตก่อเกิดที่อยู่ภายในจุดตันเถียนของเขากำลังจะกลายเป็นน้ำพุที่มีพลังงานปราณหยวนไหลทะลักออกมาแล้วพุ่งไปยังหนังสือสัมฤธิ์ที่อยู่ในทะเลแห่งจิตของเขาอย่างบ้าคลั่ง
ในเวลานี้ เย่ ซิงหยู่ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย เขาไม่สามารถแม้แต่จะขยับนิ้วของเขาได้
เวลาผ่านไปวินาทีแล้ววินาทีเล่า
ผ่านมาเกือบ 1 ชั่วโมงแล้ว กระบวนการนี้ยังคงดำเนินต่อไป
1 ชั่วโมงต่อมา เย่ ซิงหยู่ หน้าซีดหายใจติดขัด จิตก่อเกิดที่เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้างขึ้นได้ถูกดูดกลืนไปจนเหือดแห้งและกลับกลายเป็นทะเลทรายอีกครั้งหนึ่ง บริเวณที่จิตก่อเกิดเคยตั้งอยู่นั้นหลงเหลือแต่เพียงหลุมลึกที่แห้งและแตกระแหงเท่านั้น…
เย่ ซิงหยู่ รู้สึกอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพอย่างที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน เขาเหมือนกับคนแก่ที่ใช้ชีวิตมาเกือบทั้งชีวิตแล้ว และกำลังจะเดินมาถึงจุดสิ้นสุดของถนนแห่งชีวิต ไฟแห่งชีวิตของเขาในตอนนี้เหมือนเทียนที่ถูกจุดอยู่ท่ามกลางสายลมและพร้อมที่จะดับลงทุกเมื่อ
“ข้าเสร็จแล้ว ข้าไม่รอดแล้ว ครั้งนี้ข้าตายแน่… หนังสือสัมฤทธิ์เล่มนี้มันชั่วร้ายเกินไป พลังงานปราณหยวนที่ข้าใช้ความพยายามอย่างมากในการเฝ้าบ่มเพาะกลับกลายเป็นพลังงานของหนังสือสัมฤทธิ์เล่มนั้นไปเสียแล้ว…” เม็ดเหงื่อที่ใหญ่เกือบเท่าเมล็ดถั่วไหลลงมาบริเวณหน้าผากของ เย่ ซิงหยู่
เขาพยายามครุ่นคิดหาทางออกทุกทางเพื่อแก้ไขสิ่งที่ได้เกิดขึ้น ภายในทะเลแห่งจิตของ เย่ ซิงหยู่ หนังสือสัมฤทธิ์ที่กำลังสั่นไหวอยู่นั้นได้หยุดนิ่งลงในที่สุด มีแสงสีทองอ่อนๆสว่างขึ้น
ตัวหนังสือหน้าตาประหลาดมากมายปรากฏขึ้นบนปกอันราบเรียบของหนังสือสัมฤทธิ์เล่มนั้น ตัวหนังสือเหล่านั้นมีสีแดงจางๆราวกับว่ามันถูกเขียนขึ้นด้วยเลือด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มันช่างประหลาดเหลือเกิน ในเวลาต่อมาก็มีเรื่องผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นอีกครั้ง แสงสีทองอ่อนๆได้หายเข้าไปในหนังสือสัมฤทธิ์ราวกับว่ามันได้ถูกดูดกลืนเข้าไปโดยวาฬยักษ์ ราวกับว่าหนังสือโบราณที่ไร้รอยต่อเล่มนี้ได้ถูกสายลมจากจิตก่อเกิดพัดผ่านเข้ามาอย่างไม่ทันคาดคิด มันถูกเปิดออกอย่างช้าๆ…