ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป….
….
….
ภาพที่เขาเห็นมันดูเหมือนจริงมาก มันเป็นภาพของชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อเกราะและมงกุฎสีทองซึ่งดูแล้วคล้ายกับรูปภาพของจักรพรรดิเป็นอย่างมาก
ภาพเสมือนจริงที่ เย่ ซิงหยู่ เห็นอยู่นี้ราวกับมันได้มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ มันแผ่รัศมีที่ทำให้ผู้พบเห็นมีความรู้สึกกดดันราวกับว่าท้องฟ้ากำลังจะแยกออกและถล่มลงมา เย่ ซิงหยู่ รู้สึกว่าราวกับเขาเป็นเพียงมดตัวเล็กๆตัวหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับมังกร มงกุฎและชุดเกราะสีทองที่อยู่รอบตัวเขา หอกประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายหัวมังกร และสายตาของชายวัยกลางคนที่จ้องมองมาที่เขา…
มันคือภาพของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์!
เย่ ซิงหยู่ ไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ เขาไม่เคยเห็นหน้าและไม่เคยรู้จักชื่อของชายวัยกลางคนคนนี้มาก่อน เขาไม่รู้เรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับชุดเกราะที่มีสีทอง แต่ทว่า เย่ ซิงหยู่ นั้นกลับรู้สึกได้ว่าชายวัยกลางคนคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปและไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญยุทธ์… เขาคือเทพเจ้า!
เทพเจ้าตัวจริง!
จากการประเมิณของ เย่ ซิงหยู่ แล้ว แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับทะเลคลั่งหรือสูงกว่านั้นก็ไม่ใช่คู่มือของชายวัยกลางคนคนนี้
ตั้งแต่ที่เขาได้เกิดมา เขายังไม่เคยรู้สึกกลัวและกดดันขนาดนี้มาก่อนเลย แม้ว่าสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้มันจะเป็นแค่ภาพเสมือนจริงก็ตาม
มันก็แแค่ภาพเสมือนจริงเท่านั้น “ในหนังสือทั้งหน้านี้มีแต่ภาพนี้เพียงภาพเดียว นี่มันหมายความว่าอะไรกัน?”
เย่ ซิงหยู่ พยายามสังเกตอย่างละเอียดเขารู้สึกว่าในหนังสือหน้านี้มันจะต้องมีเนื้อหาอยู่อย่างแน่นอน แต่ทว่าเขากลับไม่พบอะไรเลย
หนังสือสัมฤทธิ์เล่มนี้มันช่างลึกลับจริงๆ มันเป็นวัตถุจากยุคของเทพและมาร แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีเทคนิคลับอยู่ในนี้เลย…
ในขณะที่เขากำลังคิดเช่นนั้นอยู่ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเขาก็เปลี่ยนไป ทันใดนั้นจักรพรรดิที่ใส่ชุดเกราะสีทองที่กำลังยืนอยู่เงียบๆก็ได้เคลื่อนไหวขึ้น ลำแสงสีทอง 2 เส้นส่องสว่างขึ้นจากหนังสือสัมฤทธิ์เล่มนั้นราวกับว่ามันคือดาบศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง
เย่ ซิงหยู่ กระโดดถอยหลังออกมาด้วยความตกใจ และภายในไม่กี่วินาทีต่อมาจักรพรรดิที่ใส่ชุดเกราะสีทองคนนั้นก็ได้กระโดดออกมาจากหนังสือสัมฤทธิ์ราวกับว่าเขาได้มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ…
“นี่มันไม่ดีแน่…” เย่ ซิงหยู่ รีบโยนหนังสือสัมฤทธิ์เล่มนั้นทิ้ง
เขารู้สึกตื่นตระหนกกับความแปลกประหลาดและเรื่องลี้ลับที่เกิดขึ้นจากหนังสือสัมฤทธิ์เล่มนี้มามากพอแล้วในวันนี้
โดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่า หลังจากที่หนังสือสัมฤทธิ์เล่มนั้นได้ลอยหลุดจากมือของ เย่ ซิงหยู่ ไปแล้วมันจะลอยเคว้งอยู่กลางอากาศโดยไม่ตกลงบนพื้น
เย่ ซิงหยู่ พยายามคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขานั้นเป็นเพียงภาพลวงตาและไม่มีอยู่จริง มันก็แค่ภาพเสมือนจริงที่ราวกับว่ามันมีชีวิตอยู่จริงๆก็เท่านั้น
แต่แรงกดดันที่มันแผ่ออกมาทำให้ เย่ ซิงหยู่ ยากที่จะบอกได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
หลังจากที่เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย เขากลับต้องรู้สึกตกใจอีกครั้งกับเสียงตะโกนของจักรพรรดิที่ใส่ชุดเกราะสีทองคนนั้น จักรพรรดิที่ใส่ชุดเกราะสีทองคนนั้นได้แสดงทักษะการต่อสู้ทั้ง 4 ออกมากลางอากาศด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อออกมา ความเร็วที่เขาแสดงออกมานั้นมันมากพอที่จะทำให้ผู้พบเห็นต้องรู้สึกปวดหัวและไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
ในขณะที่ทักษะการต่อสู้ทั้ง 4 ได้ถูกแสดงออกมานั้น ก็มีเสียงดังขึ้นคล้ายกับเสียงของภูเขาไฟที่กำลังจะแตกออกและเกิดระเบิดขึ้นราวกับว่าวันสิ้นโลกได้มาถึงแล้ว… ทักษะการต่อสู้ทั้ง 4 นี้มันมีพลังมันมากพอที่จะทำให้สวรรค์และโลกแตกออกจากกันเลยทีเดียว
น่าเสียดายที่ เย่ ซิงหยู่ ยังไม่ทันได้สังเกตถึงรายละเอียดของทักษะการต่อสู้ทั้ง 4 ได้อย่างชัดเจน จักรพรรดิที่ใส่ชุดเกราะสีทองที่ได้แสดงทักษะการต่อสู้ทั้ง 4 เสร็จสิ้นแล้วเขาก็ได้กลับหลังหันและกระโดดกลับเข้าไปอยู่ในหนังสือสัมฤทธิ์เช่นเดิมแล้วกลายเป็นเพียงรูปภาพที่ปรากฏขึ้นอยู่บนหน้าหนังสือเช่นเดิม เขาไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยราวกับว่าเขากำลังหลับอยู่
เย่ ซิงหยู่ ยืนงงอยู่ตรงนั้น เขาโบกมือขึ้นและหนังสือสัมฤทธิ์ก็ลอยกลับเข้ามาอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง
เพียงแค่พริบตาเดียว เย่ ซิงหยู่ ก็ทำให้หนังสือสัมฤทธิ์เล่มนั้นกลับเข้าไปอยู่ในทะเลแห่งจิตของเขาอีกครั้ง
“พลังของทักษะการต่อสู้ทั้งสี่นี้มันช่างน่ากลัวเสียจริง แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ทันได้ดูมันอย่างละเอียด มันช่าง…” เขารู้สึกเสียดายขึ้นมา
ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น ลำแสงสีทองก็สว่างขึ้นมาในทะเลแห่งจิตของเขาและข้อมูลแปลกประหลาดมากมายที่เขาไม่เคยเห็นก็ได้ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา
หลังจากที่ เย่ ซิงหยู่ ได้รับรู้ได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นคืออะไร ตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความตกใจ “สวรรค์……ทักษะการต่อสู้ทั้ง 4 นี้…มันช่างเป็นกระบวนท่าที่สมบูรณ์แบบเสียจริง!”
เย่ ซิงหยู่ ดีใจจนแทบจะเป็นบ้า เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าปัญหาที่เขากำลังขบคิดอยู่นั้นจะได้รับการแก้ไขแล้ว ทักษะการต่อสู้ทั้งสี่ที่จักรพรรดิที่ใส่ชุดเกราะสีทองได้แสดงให้เขาดูเมื่อครู่นั้นประกอบกับมนตราต่างๆที่ปรากฏขึ้นในหัวของเขามันช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน
มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษมาก ราวกับว่าสิ่งนี้เป็นมรดกตกทอดทางสายเลือดหรือเป็นอะไรบางอย่างที่ เย่ ซิงหยู่ เคยรู้เมื่อหลายหมื่นปีก่อนแล้วแต่เขากลับลืมมันไปและมันได้กลับมาสู่ความทรงจำของเขาอีกครั้ง
ต่อจากนั้นไม่นาน เย่ ซิงหยู่ ก็หมกมุ่นอยู่กับทักษะการต่อสู้ทั้งสี่
…..
…..
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปแล้วอีกเดือนหนึ่ง
เย่ ซิงหยู่ นั้นถูกขังอยู่ที่หอสำนึกผิดมาเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว เขาผู้ซึ่งขาดการติดต่อจากโลกภายนอกและไม่มีคนมาเยี่ยมเลยตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา เขาไม่รู้เลยว่าที่โลกภายนอกนั้นได้มีอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง ในที่แห่งนี้ไม่มีแม้แต่เสียงของนกหรือเสียงของคนที่ดังมาจากลานด้านข้างอีกเลย นอกจากเสียงของ เย่ ซิงหยู่ ที่กำลังพูดอยู่กับตัวเองแล้วนั้น ทุกๆอย่างที่อยู่รอบตัวเขาก็ดูจะเงียบสงบและออกจะดูวังเวงอยู่ซักเลยน้อย
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่โดดเดี่ยวและเงียบเหงานี้ พละกำลังและความแข็งแกร่งของ เย่ ซิงหยู่ ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมาก
ภายใต้แสงอาทิตย์ เย่ ซิงหยู่ ที่กำลังเปลือยท่อนบนและกำลังถือหอกสยบพ่ายไว้ที่ด้านหลังนั้นมันทำให้ท่าทางของเขาดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก มันดูเหมือนกับรูปปั้นที่ถูกแกะสลักออกมาเป็นอย่างดี พลังงานทั้งหมดได้ห่อหุ้มร่างกายของเขาไว้ราวกับว่าเขาได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปแล้ว
ซึบ! มีแสงส่องสว่างขึ้น
เย่ ซิงหยู่ นั้นไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายของเขาเลยแต่ทว่าหอกสยบพ่ายของเขากลับพุ่งออกมาที่ด้านหน้า มันพุ่งออกมาด้วยความรวดเร็วจนแทบจะทำให้มองไม่เห็น
ราวกับว่าหอกสยบพ่ายนั้นได้หายไปกลางอากาศ
ในเวลาเดียวกันหอกสยบพ่ายก็ได้ปรากฏในที่ที่ไกลออกไป มันไม่ใช่วิถีที่หอกนั้นพุ่งออกมาเลยแม้แต่น้อย และระดับความสูงที่มันโผล่มานั้นก็ไม่ใช่ระดับความสูงเดียวกันกับที่มันพุ่งออกมาเลยแม้แต่น้อย
มันกำลังร่วงลงมาจากท้องฟ้า
ใช่แล้ว หอกสยบพ่ายกำลังร่วงลงมาจากท้องฟ้า มันเหมือนกับเทพเจ้าที่อยู่เบื้องบนกำลังขว้างธงขนาดใหญ่ลงมาเพื่อตัดสินชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่เบื้องล่าง หอกขนาดยาวนั้นก็เหมือนกับธงดังกล่าว มันนำมาซึ่งแสงสว่างและความยุติธรรม มันพุ่งลงมาเหมือนกับลำแสงและตกลงบนพื้นห่างจาก เย่ ซิงหยู่ ไปราว 20 เมตร แม้แต่พื้นสีดำที่ถูกเสริมรูปแบบด้วยอักขระโบราณยังถูกหอกสยบพ่ายแทงทะลุลึกลงไปราวๆ 1 เมตรเลยทีเดียว
แต่สิ่งที่แปลกกว่านั้นก็คือพลังงานที่ผิดปกติที่กำลังห่อหุ้มมันอยู่นั้นเอง มันเป็นพลังงานที่น่าสะพรึงกลัว!
หากหอกสยบพ่ายพุ่งลงมาจากท้องฟ้าแล้วตกใส่คนที่อยู่เบื้องล่างแล้วหล่ะก็ มันจะต้องแทงทะลุร่างของคนๆนั้นในทันทีที่มันปะทะเข้ากับร่างของเขาอย่างแน่นอน
เย่ ซิงหยู่ มั่นใจว่าแม้แต่ศัตรูอย่าง ฉิน หวู่ชวง ยังยากที่เอาชีวิตรอดหากต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้
ทะลวงสวรรค์ !
ชื่อของทักษะการต่อสู้นี้คือทะลวงสวรรค์ มันคือทักษะการต่อสู้ที่ 3 ที่จักรพรรดิที่ใส่ชุดเกราะสีทองได้แสดงให้เขาดู ซึ่งทักษะการต่อสู้นี้เป็นทักษะการต่อสู้ที่ซับซ้อนที่สุดในบรรดาทักษะการต่อสู้ทั้งสี่เลยก็ว่าได้
สีหน้าของ เย่ ซิงหยู่ ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หอกที่อยู่ในมือข้างขวาของเขาก็เคลื่อนไหวออกไปด้วยความเร็วสูงกลายเป็นลำแสงสีเงินแหวกทะลุอากาศออกไป หอกที่พุ่งออกไปนั้นได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางมัน ทุกอย่างที่อยู่ในรัศมี 20 เมตรได้ถูกทำลายลงจนสิ้น
ทันทีที่หอกที่กระจายตัวไปบนฟ้า สุญญากาศขนาดใหญ่ก็ได้ถูกสร้างขึ้นอยู่กลางท้องฟ้าราวกับว่าท้องฟ้าได้ถูกแยกออกเป็นส่วนๆ!
มังกรพิโรธ !
มังกรพิโรธคือทักษะการต่อสู้ที่ 1 ของทักษะการต่อสู้ทั้งสี่ที่จักรพรรดิที่ใส่ชุดเกราะสีทองได้แสดงออกมา พลังของมันเทียบได้กับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้ที่มีพลังในขั้นจิตก่อเกิดขั้นที่ 2 เลยทีเดียว
ในขณะที่ เย่ ซิงหยู่ กำลังฝึกกระบวนท่ามังกรพิโรธอยู่นั้น ร่างกายของเขาก็รู้สึกเหมือนกับถูกพลังงานอะไรบางอย่างดึงรั้งไว้ในตำแหน่งเดียวกันกับที่หอกปักลงไปบนพื้น การเคลื่อนไหวของเขาเหมือนกับภูเขากำลังถล่ม มันแหวกทะลุชั้นอากาศขึ้น มันคือการผสมผสานกันระหว่างกระบวนท่าที่ 1 และกระบวนท่าที่ 3 ของทักษะการต่อสู้ทั้งสี่จักรพรรดิที่ใส่ชุดเกราะสีทองได้แสดงออกมา
พลังไร้ขีดจำกัดของกระบวนท่าทั้งสองเมื่อใช้ติดต่อกันแล้วช่างน่าสะพรึงกลัว แรงปะทะของมันก็มีอานุภาพรุนแรงมาก
หลังจากที่ เย่ ซิงหยู่ ฝึกทักษะการต่อสู้ทั้งสองนี้เสร็จสิ้น เขาก็หยุดนิ่งไป
“พลังของกระบวนท่าพวกนี้ช่างรุนแรงเหลือเกิน แต่มันก็ใช้พลังงานปราณหยวนภายในเป็นจำนวนมากเช่นกัน ด้วยพลังงานปราณหยวนภายในของข้าในตอนนี้ เพียงแค่ใช้กระบวนท่าทั้งสองติดต่อกัน 2 ครั้งพลังงานปราณหยวนภายในของข้าก็หมดไปเป็นจำนวนมากแล้ว” เย่ ซิงหยู่ ครุ่นคิด
เขารู้ได้ทันทีว่าแรงโจมตีของกระบวนท่าทั้งสองที่เขาเรียนรู้มานั้นยังไม่ถึงขีดสุด ตามข้อมูลลึกลับที่เขาได้รับมานั้นทะลวงสวรรค์สามารถโจมตีจากบนท้องฟ้าได้ไกลออกไปหลายพันไมล์ และมังกรพิโรธเองก็สามารถโจมตีจากระยะนั้นได้เช่นกัน… นอกจากนี้ เย่ ซิงหยู่ เองก็ยังไม่ได้ลองฝึกกระบวนที่ 2 และกระบวนท่าที่ 4 เลย
กระบวนท่าที่ 2 นั้นเป็นเทคนิคในการตั้งรับที่เรียกว่าเกราะสวรรค์มันใช้พลังงานปราณหยวนภายในห่อหุ้มและสร้างม่านพลังขึ้นมาเพื่อช่วยลดการโจมตีของศัตรูได้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผู้ใช้เคลื่อนที่ได้ช้าลงอีกด้วย
ส่วนกระบวนท่าที่ 4 นั้นเป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวมากที่สุด การเคลื่อนไหวของกระบวนท่านี้เป็นการกระโดดลงมาจากบนฟ้าโดยใช้ร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์เป็นอาวุธ เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ฝึกจนถึงขีดสูงสุดแล้วผู้ฝึกยุทธ์จะสามารถทำให้ภูเขาไฟปะทุและทำให้ลาวาไหลออกมาเปลี่ยนพื้นดินในรัศมีหลายร้อยเมตรให้กลายเป็นรัศมีการสังหารได้โดยสมบูรณ์!
ยิ่ง เย่ ซิงหยู่ ฝึกกระบวนท่าเหล่านี้มากเท่าใดเขาก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเท่านั้น ความแข็งแกร่งของกระบวนท่าทั้งสี่นี้มันช่างรุนแรงเหลือเกิน ไม่ว่าทักษะการต่อสู้ใดของสำนักกวางขาวก็ไม่อาจเทียบได้กับทักษะการต่อสู้ทั้งสี่เหล่านี้ได้เลย ใครเป็นคนคิดค้นทักษะการต่อสู้พวกนี้ขึ้นมากันนะ ทักษะการต่อสู้พวกนี้ควรถูกเรียกว่าทักษะการต่อสู้ของพระเจ้า!
เช่นนั้นแล้วหนังสือสัมฤทธิ์เล่มนี้ก็ยิ่งมีค่ามากยิ่งขึ้นไปอีก
เย่ ซิงหยู่ เข้าใจว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาจะต้องเก็บที่มาของทักษะการต่อสู้เหล่านี้ไว้เป็นความลับ ไม่เช่นนั้นแล้วสามัญชนที่บริสุทธิ์อาจต้องไปอยู่กับอาชญากรรมในแหวนหยก เขากลัวว่าหากการมีอยู่ของหนังสือสัมฤทธิ์เล่มนี้รู้ถึงหูคนอื่นแล้วหล่ะก็จะต้องเกิดการนองเลือดเพื่อแย่งชิงหนังสือสัมฤทธิ์เล่มนี้อย่างแน่นอน
กระบวนท่าทั้งสี่ของจักรพรรดิที่ใส่ชุดเกราะสีทองนั้นเป็นเพียงเนื้อหาจากหน้าหนังสือเพียงหน้าเดียวจากจำนวนหน้าไม่มีที่สิ้นสุดในหนังสือสัมฤทธิ์
ขนาดหน้าแรกๆมันยังมีทักษะที่โหดร้ายถึงเพียงนี้ แล้วหน้าต่อๆไปจากนี้หล่ะ มันจะมีทักษะที่แข็งแกร่งและโหดเหี้ยมขนาดไหนซ่อนอยู่กันแน่… เมื่อคิดเช่นนั้น เย่ ซิงหยู่ ก็ตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ
หนังสือสัมฤทธิ์ได้กลายมาเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในการทำให้ตัวเขาแข็งแกร่งมากขึ้น
แสงอาทิตย์ส่องสว่างรุนแรงมากขึ้น มันแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่ที่อยู่เบื้องล่าง ในฤดูกาลนี้ของเมืองเดียร์จะเป็นช่วงเวลาที่มีอุณหภูมิสูงที่สุด หลังจากนี้ไป 1 หรือ 2 เดือนอุณหภูมิก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งแคว้นเชว่จะเข้าสู่ฤดูหนาวอันยาวนาน และในไม่ช้าหิมะก็จะปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง
เหงื่อของ เย่ ซิงหยู่ นั้นไหลลงมาราวกับเม็ดฝน ภายในลานที่เขาถูกจองจำอยู่นั้น เขายังคงฝึกหนักอย่างต่อเนื่องตามปกติ
เวาลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน….
ตอนนี้เหลือเวลาเพียง 10 วันก็จะถึงกำหนด 3 เดือนในการจองจำแล้ว
ในตอนนี้ เย่ ซิงหยู่ ได้เข้าใจถึงกระบวนท่าที่ 2 ของจักรพรรดิที่ใส่ชุดเกราะสีทองแล้ว แต่เขายังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของกระบวนท่าที่ 4 ซึ่งเป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังมากที่สุดเลย
ในวันนี้ เย่ ซิงหยู่ ยังคงฝึกฝนอยู่ในลานนั้นอีกเช่นเคย
ในทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของประตูแง้มออกเบาๆ
“น่าจะเป็นอาจารย์จากแผนกลงทัณฑ์นำอาหารมาให้…” เย่ ซิงหยู่ มองดูว่าใกล้เวลาอาหารแล้ว แต่ทำไมในวันนี้ดูเหมือนว่าอาหารจะมาเร็วกว่าปกติ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เขายังคงปิดตาและทำสมาธิต่อไป เขาดูดซับพลังงานปราณหยวนจากสวรรค์และปฐพีเพื่อเปลี่ยนให้เป็นพลังงานปราณหยวนภายใน
แต่เขากลับได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
เสียงที่เขาได้ยินนั้นเป็นเสียงอันน่ารักและสดใสราวกับว่ามันคือเสียงของนกตัวเล็กๆที่ร้องเพลงเพราะ
“ศิษย์พี่ซิงหยู่”
กลิ่นหอมจางๆของสาวน้อยคนนั้นพัดโชยมา
เย่ ซิงหยู่ ถึงกับผงะไปชั่วครู่หนึ่ง…