ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป….
….
….
เย่ ซิงหยู่ ลืมตาขึ้น เขาเห็น ซ่ง เสี่ยวจุน เด็กสาวตัวน้อยที่ใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำ รอยยิ้มของเธอนั้นเหมือนกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน เธอยืนยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า ใบหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและมองมาที่ เย่ ซิงหยู่
เย่ ซิงหยู่ ตกตะลึงไปอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน?”
เด็กสาวตัวน้อยหัวเราะอย่างมีความสุข ดวงตาของเธอนั้นเป็นประกายเหมือนกับแสงพระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ
“ศิษย์พี่ซิงหยู่ คิดถึงข้ามั้ย?” เธอลากชุดเสื้อคลุมที่ยาวของเธอผ่านเข้ามา ในมือของเธอนั้นมีปิ่นโตอาหารสีแดงที่สูงอยู่ในระดับครึ่งหนึ่งของตัวเธออยู่ เธอก้าวกระโดดมาที่ข้างหน้าของ เย่ ซิงหยู่ แล้ววางปิ่นโตอาหารไว้ตรงนั้น เมื่อปิ่นโตอาหารถูกเปิดออก กลิ่นหอมของอาหารก็โชยออกมา ภายในปิ่นโตอาหารนั้นมีอาหารหลากหลายชนิด มันแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและความห่วงใยของคนที่ทำอาหารในปิ่นโตนี้ขึ้นมา
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว เย่ ซิงหยู่ ก็รู้สึกน้ำลายไหลขึ้นมาในทันที
“กินก่อนค่อยคุยกัน”
ในดวงตาที่ใสบริสุทธิ์ของเด็กสาวตัวน้อยมีร่องรอยของการหัวเราะฉายแววอยู่ข้างใน “ข้ารู้ว่าศิษย์พี่ซิงหยู่ ถูกจองจำอยู่ที่นี่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านคงจะต้องเบื่อมากเลยแน่ๆ ข้าก็เลยนำอาหารมากมายเหล่านี้มาให้ท่าน!”
เย่ ซิงหยู่ หัวเราะขึ้นและไม่ได้พยายามที่จะกลบเกลื่อนความเขินอายของเขาเลยซักนิด เขาหยิบอาหารที่อยู่ในจานต่างๆออกมาวางบนพื้น เขานั่งไขว้ขาบนพื้นและเริ่มที่จะทานอาหารเหล่านั้น
ในเวลาสองเดือนที่ผ่านมานี้ เย่ ซิงหยู่ ได้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนจนทำให้เขามีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น การฝึกฝนที่ใช้เวลานานเกินไปนั้นมันก็มีผลกระทบกับเขาเช่นกัน เพราะมันทำให้เขารู้สึกเบื่อ ส่วนอาหารที่หอสำนึกผิดจัดให้นั้นก็ช่างน่าเบื่อ เพราะอาหารเหล่านั้นจะเหมือนเดิมทุกวันไม่เคยเปลี่ยน แม้แต่ เย่ ซิงหยู่ ที่ไม่ใช่คนเลือกกินก็ยังรู้สึกว่าทนไม่ไหวอีกต่อไป
การที่ได้เห็นอาหารหน้าตาน่าทานเหล่านี้ทำให้ เย่ ซิงหยู่ รีบทานอาหารเหล่านี้ด้วยความตะกละมูมมาม
เขารีบกวาดทุกอย่างเข้าปากแทบจะในทันที
เด็กสาวตัวน้อยมองดู เย่ ซิงหยู่ ที่อยู่ข้างๆอย่างมีความสุข เธอหัวเราะและรินสุราให้กับเขา
เย่ ซิงหยู่ จ้องมองเธอและพูดขึ้นว่า “เจ้าตัวน้อย เจ้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน?”
“หอสำนึกผิดนั้นมีคนคุ้มกันดูแลอย่างแน่นหนา เฉพาะอาจารย์จากแผนกลงทัณฑ์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้ แม้แต่ท่านอาจารย์ เหวิน ว่าน ขอร้องที่จะเข้ามาก็ยังเข้าไม่ได้เลย…” เย่ ซิงหยู่ ทำหน้าตาสงสัยอยู่ไม่น้อย
ซ่ง เสี่ยวจุน หัวเราะและพูดขึ้นว่า “มันไม่ได้เข้มงวดอย่างที่ท่านพูดหรอก ข้าก็แค่ใช้คะแนนของข้าแลกกับการที่ได้เข้ามาที่นี่”
“แลกกับคะแนนของเจ้างั้นรึ?” ในที่สุด เย่ ซิงหยู่ ก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้รับอนุญาตให้เข้ามา เพราะมันทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก
แต่ทว่าเขาก็ยังทำหน้าบึ้งและพูดกับเธอว่า “เจ้าเด็กนิสัยเสีย เจ้าใช้คะแนนที่มีค่าของเจ้าแลกกับสิ่งที่ไร้ค่าได้ยังไงกัน?”
เด็กสาวตัวน้อยหัวเราะคิกคัก “น่ารำคาญจริง ข้าไม่ใช่เด็กเสียนิสัยนะ นั่นฟังดูไม่ดีเลย…เพราะมันเกือบจะ 3 เดือนแล้ว ข้าก็เลยคิดถึงศิษย์พี่ซิงหยู่ และข้าใช้คะแนนแค่เพียง 6 คะแนนเองมันไม่ได้มากมายอะไรเลย ความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้มันมากกว่าแต่ก่อนมาก แค่คะแนนเพียงเล็กน้อยแค่นี้ข้าหาใหม่ได้ไม่ยากหรอก!”
“อะไรนะ 6 คะแนนงั้นรึ!” หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น เย่ ซิงหยู่ ก็รีบเขกหัวเด็กสาวตัวน้อยในทันที
“เจ้าไม่ใช่เด็กนิสัยเสียธรรมดาๆซะแล้ว!” เพราะคะแนนถึง 6 คะแนนนั้นมันสามารถนำไปแลกกับชั่วโมงการเรียนของอาจารย์ที่มีพลังในขั้นจิตก่อเกิดขั้นที่ 4 ได้ถึง 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว
แต่เด็กสาวตัวน้อยคนนี้กลับนำมันมาแลกเปลี่ยนกับการที่ได้เข้ามาในหอสำนึกผิด… เย่ ซิงหยู่ ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
“ข้าเจ็บนะ” เด็กสาวตัวน้อยถูไปที่หน้าผากของเธอและพูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่ซิงหยู่ ท่านเองไม่ใช่หรือที่เป็นคนพูดว่าวิทยายุทธนั้นเป็นสิ่งที่ต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อน หากผู้ฝึกวิทยายุทธอยากที่จะก้าวไปข้างหน้าต้องไม่ถูกเหล่าปีศาจร้ายเชิญชวนให้หลงผิดและเร่งรีบที่จะฝึกฝน ท่านเป็นคนพูดเองว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก!”
“ข้ามีเพื่อนในสำนักกวางขาวไม่มากนัก และข้าก็โง่เกินไป ไม่มีใครอยากจะเล่นกับข้าเลย ลูกพี่ลูกน้องของข้าก็เป็นคนเข้มงวด ช่วงเวลาที่ท่านอยู่ในหอสำนึกผิดนั้นทำให้ข้าไม่ค่อยมีสมาธิเลย การฝึกฝนของข้าจึงเป็นไปได้ช้ามาก ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน นั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงมาหาท่านที่หอสำนึกผิดแห่งนี้ มันช่วยให้ข้าคิดอะไรออกมากขึ้น!”
เย่ ซิงหยู่ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้กับเหตุผลของเด็กสาวตัวน้อยดี ภายในสำนักกวางขาวนั้น นอกจาก ซ่ง เสี่ยวจุน แล้ว ตัวของเขาเองก็ไม่มีเพื่อนคนไหนอีก ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้เขาคิดถึงเด็กสาวตัวน้อยอยู่หลายครั้ง ถ้าจะให้พูดจริงๆแล้วการที่เด็กสาวตัวน้อยคนนี้มาเยี่ยมเขามันทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
แต่สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนนั้นมันสูงเกินไป โดยเฉพาะ 6 คะแนนที่เด็กสาวตัวน้อยต้องแลกไปกับการเข้ามาเยี่ยมเขาแล้วนั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา
แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว…สิ่งเดียวที่ เย่ ซิงหยู่ จะทำได้ก็คือ………ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารที่เด็กสาวตัวน้อยคนนี้นำมาให้อย่างตะกละตะกรามต่อไป
“จริงสิ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้มีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้นในสำนักบ้างมั้ย?” เย่ ซิงหยู่ ถาม ซ่ง เสี่ยวจุน ในขณะที่เธอกำลังกำจัดอาหารที่อยู่ตรงหน้าเขาไปด้วย
“มีสิ เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน เด็กชั้นปีที่ 1 ได้ออกไปฝึกฝนการต่อสู้เป็นครั้งที่ 2 ฉิน หวู่ชวง ได้กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนอีกครั้ง มันมีข่าวลือว่าเขาหน่ะมีโชค เขาบังเอิญไปเจอของล้ำค่าหากยากที่ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว”
“และในศึกท้าประลองครั้งที่ 2 นี้ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลย ทุกคนต่างก็พูดว่าพลังของเขานั้นเข้าสู่ระดับจิตก่อเกิดขั้นที่ 2 แล้ว ด้วยพลังระดับนี้มันทำให้เขาสามารถเลื่อนระดับขึ้นไปเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 2 ได้โดยไม่มีข้อสงสัยอะไรเลย…” เด็กสาวตัวน้อยพูดไม่หยุด
ฉิน หวู่ชวง เจอมันเข้าโดยบังเอิญงั้นรึ?
“แล้วเขาได้เลื่อนขึ้นไปเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 2 มั้ย?” เย่ ซิงหยู่ ถามขึ้นเขารู้สึกกังวลใจกับคำตอบเล็กน้อย
หาก ฉิน หวู่ ชวง ได้ขึ้นเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 2 แล้วจริงๆตัวเขาเองก็อยากที่จะทำตามบ้าง เขาเองก็อยากผ่านขึ้นไปเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 2 เช่นเดียวกัน เขาอยากจะสำเร็จการศึกษาจากสำนักกวางขาวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“เขายังคงเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 1” เด็กสาวตัวน้อยส่ายหน้าและมองมาที่ เย่ ซิงหยู่ ด้วยสีหน้าหยอกล้อ “เดิมทีอาจารย์ เหวิน ว่าน เห็นด้วยกับการที่เขาสามารถผ่านขึ้นไปเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 2 ได้เลย แต่ตัวของ ฉิน หวู่ชวง เองที่เป็นคนกล่าวปฏิเสธ”
“ปฏิเสธงั้นหรือ? เขายังสติดีอยู่รึเปล่า?” เย่ ซิงหยู่ ตะลึงไปเล็กน้อย เขาพยายามจะกลืนอาหารที่อยู่ในคอของเขาลงไป
ตาของเด็กสาวตัวน้อยเป็นประกาย เธอหัวเราะและพูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว ฉิน หวู่ชวง เป็นคนพูดเองว่าเขาจะรอจนกว่าศิษย์พี่ซิงหยู่จะได้ออกจากหอสำนึกผิดแห่งนี้และเอาชนะท่านให้ได้ก่อนเขาถึงจะยอมเลื่อนขึ้นไปเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 2”
เย่ ซิงหยู่ เผยรอยยิ้มขึ้นมา
“และยังมีเรื่องสนุกอะไรอีกรึเปล่า?” เย่ ซิงหยู่ พูดพลางเลียจานที่อยู่ในมือของเขาไปด้วย
“อืมมม ข้าขอคิดก่อน…” เด็กสาวตัวน้อยจับคางพลางครุ่นคิดไปด้วย “อ้อ จริงสิ หยาน ซิงเทียน ได้หายตัวไป”
“อะไรนะ? หายตัวไปงั้นหรือ? เจ้าหมายความว่ายังไงกัน?” เย่ ซิงหยู่ แสดงอาการตกใจออกมา
“ในการฝึกต่อสู้ครั้งที่ 3 เมื่อ 10 วันก่อน หยาน ซิงเทียน ได้หายตัวไปโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเขาหายไปไหน ไม่มีใครรู้เลยว่าเขายังอยู่หรือตาย”
เด็กสาวตัวน้อยมองไปรอบๆแล้วค่อยๆเขยิบเข้ามาใกล้ เย่ ซิงหยู่ และลดเสียงของเธอลง “หลายคนพูดกันว่าคนที่อยู่ที่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็คือ ฉิน หวู่ชวง เขาเล็ง หยาน ซิงเทียน ไว้ในระหว่างการฝึกที่ผ่านมา…”
“นี่เรื่องจริงหรือ?” เย่ ซิงหยู่ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งและพูดขึ้นว่า “มันไม่น่าจะเป็นความจริงนะ หยาน ซิงเทียน ไม่เคยตั้งตัวเป็นศัตรูกับ ฉิน หวู่ชวง มาก่อน”
“สิ่งเดียวที่เป็นไปได้ก็คือ หยาน ซิงเทียน นั้นเป็นผู้นำของนักเรียนสามัญชนที่อยู่ในชั้นเรียนปีที่ 1 และเขาก็มีความแข็งแกร่งมากพอตัว เขามักจะต่อต้านพวกนักเรียนชนชั้นสูงหลายๆคน บางคนก็พูดกันว่าหลังจากที่ ฉิน หวู่ชวง ได้บังเอิญไปพบกับของล้ำค่าหายากแล้ว เขาก็ไปพบเจอกับ หยาน ซิงเทียน และพวกเขาก็ตกลงที่จะต่อสู้กันจนกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ” เด็กสาวตัวน้อยพูดด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ
เย่ ซิงหยู่ ทำท่าทางครุ่นคิด
อย่างที่เขาว่ากันว่า “ที่ใดไร้คลื่นที่นั่นก็ย่อมไร้ลมที่ใดมีถ้ำที่นั่นก็ย่อมมีลมอยู่ข้างใน*” (* สุภาษิตจีน หมายถึง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลที่มาด้วยกันทั้งนั้น)
ทุกสิ่งที่เด็กสาวตัวน้อยกล่าวมาล้วนแต่เป็นการไล่ตามเงาและลม
หยาน ซิงเทียน มักจะทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาเป็นคนยากที่จะหยั่งถึง หากว่าตัวเขานั้นเป็นอันตรายต่อตำแหน่งของ ฉิน หวู่ชวง แล้ว พวกนักเรียนชนชั้นสูงก็คงจะตัดสินใจที่จะทำอะไรกับเขาซักอย่าง นั่นก็น่าจะเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุด
ที่สำนักกวางขาวนั้นเบื้องหน้าอาจจะดูสงบสุข แต่ทว่าความขัดแย้งระหว่างนักเรียนชนชั้นสูงกับนักเรียนสามัญชนนั้นเริ่มที่จะชัดเจนขึ้น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลง
แต่ทว่าการหายตัวไปของ หยาน ซิงเทียน เป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ดีสำหรับเขาเลย หลังจากที่คิดได้เช่นนั้น เย่ ซิงหยู่ ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอาณาจักรเทียนฮวงตี้นั้นต้องเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์อื่นๆอีกมากมายจึงไม่ควรมาสู้รบกันเอง เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกลิขิตมาให้เป็นเผ่าพันธุ์อันดับหนึ่ง ดังนั้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ควรจะร่วมมือกันต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อื่นๆแทนที่จะมาขัดแย้งกันเองภายใน
ตราบใดที่ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นสูงและสามัญชนพวกนี้ยังคงดำเนินต่อไป เหล่าวีรบุรุษทั้งหลายก็ต้องเข้าร่วมและเสียสละตัวเองไปกับความขัดแย้งเหล่านี้
“จริงสิ ท่านอาจารย์ เหวิน ว่าน ที่เป็นคนสอนกระบวนท่าศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดให้กับเจ้าได้ออกจากสำนักกวางขาวไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนแล้ว” ซ่ง เสี่ยวจุน เด็กสาวตัวน้อยพูดขึ้นมา
“อะไรนะ? ตาเฒ่าเหวินไปแล้ว?” ครั้งนี้ เย่ ซิงหยู่ ตกตะลึงไปจริงๆ
เหวิน ว่าน ไปแล้วจริงๆรึ?
“เขาไปไหน?” เย่ ซิงหยู่ รีบถามขึ้น
เมื่อเด็กสาวตัวน้อยเห็นสีหน้าของ เย่ ซิงหยู่ เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่จริงจังเธอก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย เธอเพียงแต่เล่าเรื่องนี้ขึ้นมาเฉยๆไม่ได้ตั้งใจให้เป็นประเด็นอะไรขึ้นมา ใครจะไปคิดกันว่าศิษย์พี่ซิงหยู่จะมีปฏิกิริยารุนแรงกับข่าวธรรมดาๆทั่วไปเช่นนี้ ตามที่เธอรู้มานั้นครูฝึกที่มีร่างกายกำยำ เหวิน ว่าน ไม่น่าจะเป็นบุคคลที่มีความสำคัญกับเขาขนาดนั้นไม่ใช่หรือ?
ภายในสำนักกวางขาวนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง เหวิน ว่าน กับ เย่ ซิงหยู่ แม้แต่ในบรรดานักเรียนด้วยกันเองนั้นก็ไม่มีใครเลยที่รู้ถึงความสัมพันธ์นี้
“เขาพูดกันว่าท่านอาจารย์เหวินถูกคัดเลือกให้ไปเป็นกองกำลังคุ้มกันบริเวณชายแดนโย่วหยาน!” เด็กสาวตัวน้อยกล่าวออกมา
ชายแดนโย่วหยานงั้นหรือ? เย่ ซิงหยู่ ตกตะลึงไป
เขารู้เรื่องเกี่ยวกับชายแดนโย่วหยาน มันเป็นชายแดนทางทหารที่มีความสำคัญมากซึ่งมันอยู่ห่างจากเมืองเดียร์หลายพันไมล์เลยทีเดียว มันอยู่ตรงบริเวณพรมแดนระหว่างแคว้นเชว่กับอาณาจักรปีศาจทางทิศเหนือ บริเวณนั้นเป็นบริเวณที่เกิดการปะทะกันแทบจะตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ความขัดแย้งกันระหว่างแคว้นเชว่กับอาณาจักรปีศาจทางทิศเหนือนับวันจะมีแต่เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ชายแดนโย่วหยานจึงเปรียบเสมือนกับตะปูเหล็กที่ตรึงแน่นอยู่ตามแนวภูเขา ชายแดนโย่วหยานเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นเชว่ซึ่งแผ่ขยายออกไปจากแคว้นเชว่หลายพันไมล์
ส่วนเมืองเดียร์เป็นเมืองที่ห่างไกลจากบริเวณศูนย์กลางของแคว้นเชว่
ชายแดนโย่วหยานนั้นเป็นแนวพรมแดนป้องกันที่สำคัญมาก หากสูญเสียชายแดนโย่วหยานไปปีศาจจากทางทิศเหนือก็จะสามารถรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของแคว้นเชว่ได้ และเมื่อนั้นเมืองแรกที่จะถูกโจมตีก็คือเมืองเดียร์และเมืองอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆกับเมืองเดียร์
ในทุกๆปีนั้นสำนักกวางขาวจะคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเพื่อไปเป็นกองกำลังสนับสนุนที่ชายแดนโย่วหยาน และต่อสู้กับปีศาจจากทางทิศเหนือ เย่ ซิงหยู่ รู้เรื่องเหล่านี้มานานแล้ว แต่เขาไม่เคยคิดว่า เหวิน ว่าน ซึ่งเป็นอาจารย์ของสำนักกวางขาวจะถูกคัดเลือกให้ไปเป็นกองกำลังป้องกันชายแดนโย่วหยาน
เย่ ซิงหยู่ รู้สึกว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้เป็นแน่
ไฟของสงครามลุกโชนอยู่ทั่วทุกแห่งของชายแดนโย่วหยาน ตาเฒ่าเหวินเจ้าต้องมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้นะ
“ให้ตายเถอะ ตาเฒ่าเหวินเจ้าน่าจะมาตะโกนบอกข้าสักครั้งก่อนที่เจ้าจะไปนะ”
เย่ ซิงหยู่ ตะโกนด่า เหวิน ว่าน อยู่ในใจ และทันใดนั้นเขาก็จำเรื่องของไข่มุกจากหอยกาบสีทองที่เขาได้มอบมันให้กับ เหวิน ว่าน ให้ช่วยตรวจสอบขึ้นมาได้ เขาได้จากไปอย่างเร่งรีบ เขาจะเอามันไปด้วยรึเปล่านะ?
ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะได้พบกันอีกครั้งเมื่อไหร่
เย่ ซิงหยู่ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจเมื่อนึกถึงเรื่องนี้