ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปทันทีที่’จางหยาง’สั่งการก็ปรากฏบริวารยี่สิบสามสิบคนพร้อมอาวุธในมือพุ่งออกจากทางเข้าลานกว้างอีกด้านและรุมล้อม’ไป่หยุนเฟย’ไว้ แต่เมื่อพบเห็นว่ามันยังคงถือก้อนอิฐโชกเลือดในมือก็ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเปิดฉากจู่โจม
“เจ้ากล่าวเองว่าหากข้าชนะจะปล่อยให้ข้าเป็นอิสระ”
‘ไป่หยุนเฟย’กล่าวเสียงราบเรียบขณะที่สายตามันจับจ้อง’จางหยาง’อย่างเย็นชา
“เจ้า!…ข้า…”
‘จางหยาง’อับจนถ้อยคำไปชั่วขณะ มันสะกดกลั้นจนทั้งใบหน้ามันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ยามนี้ผู้ชมรอบด้านฟื้นคืนคืนจากความตระหนก สำหรับพวกมันไม่ว่าใครต้องตาย ล้วนไม่สลักสำคัญเท่าความแปลกใหม่เร้าใจที่พวกมันได้รับ
สำหรับ‘การแสดงออกที่เกินคาด’ของ’ไป่หยุนเฟย’เมื่อครู่แน่นอนว่าให้ความรู้สึกอิ่มเอมแก่พวกมันเป็นพิเศษ แต่เมื่อพบเห็นความเปลี่ยนแปลงในลานจึงพากันชี้มือชี้ไม้ไปยัง’ไป่หยุนเฟย’สลับกับ’จางหยาง’แล้วส่งเสียงกระซิบกระซาบกัน
“นั่นก็ถูกแล้ว มันชนะแล้ว มันสมควรได้รับอิสระกระมัง? อย่าได้บอกว่าสมรภูมิเดรัจฉานของตระกูลหยางแห่งนี้เป็นเพียงสถานที่ให้คนของมันเข่นฆ่าผู้คนตามอำเภอใจ??”
ผู้กล่าวคำพูดขึ้นมากะทันหันนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่กลับเป็นคุณชาย’รองเจิ้ง’ มันชี้มือไปยังเหล่าผู้สูงศักดิ์และกล่าวต่อไป
“เช่นนั้นแล้ว พวกมันจะมายังที่นี้ทำอะไร??”
แม้มันกล่าวด้วยระดับเสียงปกติ แต่เนื่องเพราะสมรภูมิแห่งนี้ออกจะเงียบอยู่บ้างเนื่องเพราะเหล่าผู้ชมกำลังถกเถียงกันเสียงค่อย พวกมันล้วนได้ยินคำกล่าวของคุณชาย’รองเจิ้ง’อย่างชัดเจน พวกมันทั้งหมดล้วนแสดงท่าที’ข้าเห็นด้วย’ พวกมันไม่น้อยกระทั่งยังมองจางหยางด้วยท่าทีไม่พอใจอยู่บ้าง
ใบหน้า’จางหยาง’จากสีคล้ำแปรเปลี่ยนขาวซีดสลับไปมา สุดท้ายมันฝืนยิ้มประสานมือคารวะคุณชายรองเจิ้งจากนั้นยิ้มขออภัยแก่ฝูงชนกล่าวว่า
“ฮ่า ฮ่า…คุณชายรองเจิ้งกล่าวถูกต้อง เมื่อครู่ข้าเสียคารวะแล้ว ข้าจะปลดปล่อยมันเป็นอิสระ…”
เมื่อมันกล่าวจบก็ส่งสัญญาณด้วยสายตาให้แก่บริวารภายในลาน ยามนั้นคุณชาย’รองเจิ้ง’กล่าวอีกครา
“สหาย ข้าก็จะกลับเช่นกัน เจ้าจะร่วมทางไปพร้อมข้าหรือไม่?”
คำพูดเหล่านี้กลับกล่าวกับ’ไป่หยุนเฟย’
ทันทีที่คำพูดกระทบหู’จางหยาง’ใบหน้ามันก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครา มันลอบขุ่นเคืองใจแต่ไม่กล้าแสดงความโกรธเกรี้ยว เดิมทีมันคาดว่าจะหาหนทางฆ่า’หยุนเฟย’โดยไม่ยากเย็นหลังจากปลดปล่อยมันไป แต่คุณชาย’รองเจิ้ง’ผู้นี้มองทะลุถึงเจตนาของมันอย่างชัดเจน เป็นมันกล่าววาจาเพื่อปกป้องชีวิตของ’ไป่หยุนเฟย’นั่นเอง
ภายในลานกว้าง’ไป่หยุนเฟย’ไม่แสดงท่าทีอันใด แต่ยามนี้มันเข้าใจกระจ่าง มันก็เกรงเหตุไม่คาดฝันเช่นกัน จึงไม่กล่าวอันใดเดินไปยังทางเดินซึ่งเมื่อครู่เหล่าบริวารกรูออกมา ชั่วครู่มันก็ปรากฏตัวที่อัฒจันทร์และยืนเงียบงันด้านหลังคุณชาย’รองเจิ้ง’
‘ไป่หยุนเฟย’ก้มหน้าลงต่ำ ไม่เงยหน้ามอง’จางหยาง’ที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร แต่เส้นเลือดดำบนหลังมือที่กำก้อนอิฐของมันปูดโปนขึ้น มันยังกัดฟันจนแทบจะหลั่งเลือด มันไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเนื่องเพราะมันเกรงว่าจะไม่อาจควบคุมตนเองพุ่งเข้าไปทุบก้อนอิฐลงบนศีรษะของศัตรูมัน มันทราบดีว่าหากมันพุ่งเข้าไปจริงๆ มิเพียงไม่อาจกระทบถูกศัตรูมัน กระทั่งชีวิตมันยังต้องสิ้นสุดลงที่นี่
“คุณชายจาง เช่นนั้นแล้วข้าขออำลา”
คุณชาย’รองเจิ้ง’กล่าวอย่างปลอดโปร่งไม่กี่คำ จากนั้นไม่แยแสว่า’จางหยาง’จะคิดเช่นไร มันลุกขึ้นยืนและสาวเท้าไปยังทางออกทันที
‘ไป่หยุนเฟย’ติดตามมันไม่ห่างขณะที่อุ้มร่างของ’ผู้เฒ่าอู๋’ ท่านลุง’ฉิน’นั้นเดินตามหลังและมอง’ไป่หยุนเฟย’ด้านหน้าอย่างครุ่นคิด
ในตรอกห่างออกไปทางทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองลั่วซี ผู้คนที่ออกจากสมรภูมิเดรัจฉานมามีไม่น้อย หลังจากก้าวเดินอีกชั่วครู่ คุณชาย’รองเจิ้ง’หันกลับมามองยัง’ไป่หยุนเฟย’ซึ่งเดินตามหลังอย่างเงียบงันตลอดทาง มันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าคือเจิ้งไคจากตระกูลเจิ้งแห่งนครหลวง เจ้าคือ…”
“ไป่หยุนเฟย”
“น้องหยุนเฟย เจ้า…จากนี้เจ้าวางแผนจะทำอันใดต่อ?”
ขณะจ้องมองไปที่เจิ้งไค ‘ไป่หยุนเฟย’เงียบงันชั่วขณะจากนั้นกล่าวว่า
“ข้าติดค้างท่าน ข้าจะตอบแทนท่านสิบเท่าในภายหลัง…”
“ฮ่า ฮ่า ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น… ข้าเพียงกล่าวอย่างปลอดโปร่งไม่กี่คำ ยังคงอย่าได้ใส่ใจแล้ว”
เมื่อเห็นว่า’ไป่หยุนเฟย’เข้าใจคำพูดมันผิดก็สั่นศีรษะแย้มยิ้ม
“ข้าหมายถึง จากนี้เจ้าต้องพยายามจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าจางหยางอีก แม้ข้าสามารถช่วยเจ้าออกมาได้ แต่ข้ากำลังจะไปจากเมืองนี้ ยามนั้นอาจบางทีมันจะพยายามค้นหาและสร้างปัญหาแก่เจ้าอีก ในความเห็นข้า เจ้าไม่สมควรอยู่ที่เมืองนี้อีก”
‘ไป่หยุนเฟย’เงียบงันอีกครา มันก้มหน้ามองศพของ’ผู้เฒ่าอู๋’ ผ่านไปเนิ่นนาน…
“ขอบคุณ…”
มันกล่าวอย่างสุภาพ จากนั้นไม่แยแส’เจิ้งไค’อีก มันก้มหน้าเดินไปตามตรอกออกไปเบื้องนอก
“วันนี้ท่านช่วยเหลือข้า ข้าจะจดจำไว้ในใจ วันใดข้าเข้มแข็งพอ ข้าจะทดแทนท่านสิบเท่า”
มองเห็น’ไป่หยุนเฟย’จากไป ‘เจิ้งไค’ได้แต่สั่นศีรษะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
‘ผู้เฒ่าอู๋’กล่าวว่าครอบครัวมันอาศัยอยู่ริมถนนเล็กๆทางทิศเหนือของเมืองไม่ห่างจากที่นี้เท่าใด โชคดีที่เส้นทางเปลี่ยวร้างไม่เช่นนั้นด้วยสารรูปมันที่ร่างโชกเลือดทั้งยังอุ้มซากศพไว้ในอ้อมแขน มันต้องถูกจับกุมไปยังกรมเมืองเป็นแน่
หลังจากขู่ขวัญผู้คนสามสี่คนติดต่อกัน ในที่สุดมันก็หาครอบครัว’ผู้เฒ่าอู๋’พบจากคำบอกที่สั่นระริกของชาวบ้าน มันส่งร่างไร้วิญญาณของ’ผู้เฒ่าอู๋’ให้แก่คนในครอบครัวของมันแล้วหันกายจากไป ไม่แยแสความหวาดกลัว ตื่นตระหนกและเศร้าโศกของคนเหล่านี้อีก
หลังจากกลับถึงบ้านมันชำระล้างคราบเลือดบนร่างในทันที จากนั้นเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าอื่นที่มันมีอยู่เพียงชุดเดียว ไป่หยุนเฟยมองดูบ้านที่อาศัยมาตลอด 18 ปีของมันเป็นคราสุดท้ายและสาวเท้าออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว
ภายใต้แสงจันทร์สลัว ในป่าห่างไกลจากเมืองลั่วซี ‘ไป่หยุนเฟย’คุกเข่าเบื้องหน้าหลุมศพของมารดาและท่านปู่ของมัน กล่าวคำพูดบางอย่างเสียงค่อย
“… …”
“จากนั้นข้าถูกเจิ้งไคช่วยเหลือและออกจากที่นั้นมา…”
“มารดา…ยามนี้ข้าเข้าใจแล้ว หากข้าไม่ต้องการถูกข่มเหงและเหยียดหยาม หากข้าไม่ต้องการถูกปฏิบัติเยี่ยงมดปลวก หากข้าต้องการใช้ชีวิตอย่างเสรี ข้าต้องมีพลังอันยิ่งใหญ่…ยิ่งใหญ่จนไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินข้า”
“มารดา ท่านปู่กล่าวว่าข้าต้องใช้ชีวิตอย่างสัตย์ซื่อ…”
“ผู้เฒ่าอู๋สละชีวิตเพื่อช่วยข้า ข้า…ต้องการแก้แค้นให้แก่มัน ข้าจะต้องทำให้จางหยางนั้นจ่ายค่าตอบแทนในสิ่งที่มันกระทำ! เพื่อผู้เฒ่าอู๋ เพื่อหลานสาวของมันเสี่ยวยู่เอ๋อร์ และเพื่อตัวข้าเองด้วยเช่นกัน!”
“ยามนี้ข้าได้รับพลังที่แสนพิเศษ ข้ารู้สึกได้ว่า หากข้าค้นคว้ามันอย่างจริงจังและใช้มันอย่างถูกต้อง ข้าจะสามารถเป็นผู้แข็งแกร่ง…”
‘ไป่หยุนเฟย’ปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ขณะที่มันจะยันตัวลุกขึ้นยืนพลันมีเสียงสูงอายุดังขึ้นด้านหลัง
“เจ้าต้องการพลังหรือไม่?”
“ผู้ใด?”
เสียงที่ปรากฏขึ้นฉับพลันสร้างความหวาดกลัวแก่ไป่หยุนเฟย มันฉวยก้อนอิฐด้านข้างขึ้นมาอย่างว่องไวแล้วหันไปเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่ด้านหลัง
“โอ? พลังวิญญาณของเจ้าได้เริ่มตื่นขึ้นแล้ว? แม้จะยังแผ่วบางอยู่ก็ตาม…”
น้ำเสียงนั้นประหลาดใจอยู่บ้าง คนผู้นั้นกล่าวต่ออย่างขบขัน
“ฮ่า ฮ่า อย่าได้หวาดกลัวเลยสหายน้อย ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”
ภายใต้แสงจันทร์’ไป่หยุนเฟย’แลเห็นชายชราท่าทางเมตตาแต่งกายด้วยชุดยาวสีเทาเดินเข้ามา พร้อมน้ำเสียงสนิทสนมและกำลังประเมินชายหนุ่มอย่างยิ้มแย้ม
“ท่านเป็นใคร? ต้องการอะไร?”
‘ไป่หยุนเฟย’ถามคำถามที่สำคัญที่สุดสองอย่างทันที เมื่อเห็นว่าชายชราไม่มีเจตนาร้ายมันจึงผ่อนคลายลงบ้างแต่ยังคงกระชับก้อนอิฐไว้ในมือ
“ข้าเข้าใจที่เจ้ากล่าวเมื่อครู่ไม่มากก็น้อย ดูจากพลังวิญญาณของเจ้าที่เริ่มตื่นขึ้น คงเป็นพลังพิเศษที่เจ้ากล่าวถึงเมื่อครู่กระมัง?”
“ขอบอกต่อเจ้าเลยว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่เจ้าจะแก้แค้นด้วยพลังอันต่ำต้อยเพียงเท่านี้ เจ้ามิได้เป็นแม้กระทั่งผู้ฝึกปรือวิญญาณ แม้เจ้าบัดซบจางหยางจะบรรลุเพียงขั้นกลางของด่านปัจเจกวิญญาณ แต่ก็เกินกว่าคนอย่างเจ้าจะต่อกรได้”
“ที่ข้าต้องการบอกต่อเจ้าคือ… ข้าสามารถส่งเสริมให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นและมีหนทางแก้แค้นดังที่ปรารถนา เจ้าจะรับปากหรือไม่?”
เดิมทีชายชราคาดว่า หลังจากได้ยินมันกล่าวคำพูดเหล่านี้ สหายน้อยเบื้องหน้าจะรับปากด้วยความยินดีและรีบสอบถามวิธีที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้เป็นแน่ แต่ทว่า…
“ข้าจะเชื่อถือท่านได้อย่างไร?”
“เอ่อ…”
ชายชรานิ่งงันไปชั่วขณะ จึงกล่าวอย่างจำนน
“เจ้าครอบครองสิ่งล้ำค่าใดพอจะให้ข้าหลอกลวงเจ้า? ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเชื่อถือ…”
ทันทีที่มันกล่าวจบ ‘ไป่หยุนเฟย’พลันรู้สึกรอบข้างสว่างวาบ คลื่นความร้อนพุ่งปะทะใบหน้า — ทันใดเปลวเพลิงก็โหมกระหน่ำกินพื้นที่กว้างใหญ่รอบกายมันและชายชราอย่างคาดไม่ถึง!!
อีกทั้งเพลิงเหล่านี้ยังลอยอยู่กลางอากาศแทนที่จะเผาไหม้บนพื้นดิน!
ภายใต้แสงของเปลวเพลิง ชายชราชี้นิ้วอย่างยิ้มแย้มไปยังก้อนหินกลมขนาดเท่าบ่อน้ำห่างออกไปไม่ไกล ท่ามกลางทุ้มดังกึกก้องก้อนหินพลันลอยขึ้นจากพื้นดินสู่อากาศ ชายชราขยับนิ้วทั้งห้าเล็กน้อย ได้ยินเสียงบดขยี้ดังขึ้นก้อนหินนั้นพลันแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงลงสู่พื้นดิน…
‘ไป่หยุนเฟย’มองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างตื่นตระหนก มันพลันหน้าเวียนศีรษะวูบ ยามที่รู้สึกตัวก็พบว่า…ตนเองลอยค้างอยู่กลางอากาศ!
สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้จิตใจมันสับสนไม่น้อย มันจ้องอย่างตะลึงงันไปยังชายชราบนพื้นที่ยังคงมองมันอย่างยิ้มแย้ม
ยามได้เห็นท่าทีตื่นตระหนกบนใบหน้ามันชายชราก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ ด้วยการโบกมืออีกครา’ไป่หยุนเฟย’ก็หล่นช้าๆลงสู่พื้นดิน เปลวเพลิงรอบด้านค่อยๆหดตัวลงกลับกลายเป็นลูกไฟขนาดเท่าชามอ่างลอยอยู่กลางอากาศ ดูเหมือนชายชราจะคงเหลือไว้เพื่อให้แสงสว่าง
“เป็นอย่างไร? เด็กน้อยเจ้าเชื่อข้าแล้วกระมัง? ข้าจะกล่าวอีกครั้ง ข้าสามารถส่งเสริมเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้น ช่วยให้เจ้าแก้แค้นได้ เจ้าจะรับปากหรือไม่?”
‘ไป่หยุนเฟย’ก้มศีรษะเงียบงันเนิ่นนาน จากนั้นจ้องมองชายชราอีกเนิ่นนาน ยามนี้มันกล่าวช้าๆ
”มีเงื่อนไขอันใด?”
“เอ่อ…”
ชายชรานั้นตะลึงงันไปชั่วขณะ มันรู้สึกหดหู่ใจอยู่บ้าง
“สหายน้อยนี้ช่างแตกต่างจากผู้คนก่อนหน้า… ไม่ว่าผู้ใดมีวาสนาเยี่ยงนี้มันต้องกระโดดคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างตื่นเต้น แต่มันกลับ…”
“นี่… ข้าเพียงเห็นว่าเจ้ามีสัดส่วนพรสวรรค์อันเลิศล้ำ จึงต้องการจะสอนสั่งเจ้า…”
“ข้าไม่เชื่อ”
‘ไป่หยุนเฟย’สอดคำทันที
“เอ่อ…”
ชายชราถึงกับอับจนถ้อยคำ หลังจากมันนิ่งงันอยู่นานก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น
“เด็กน้อยเจ้านี้ช่างไม่เหมือนใคร เอาล่ะข้าจะไม่ปิดบังอันใดเจ้าอีก นอกจากเพื่อช่วยเจ้าสามารถแก้แค้นได้แล้ว ข้ายังมีจุดประสงค์อื่นในการสอนสั่งเคล็ดวิชาแก่เจ้า”
“ข้าเป็นคนของสำนักชะตาลิขิต สักวันหนึ่งสำนักข้าจะต้องเผชิญภัยพิบัติถึงขั้นสิ้นสูญ ดังนั้นข้าช่วยเหลือเจ้าเพื่อหวังว่าวันหน้าเจ้าฝึกฝนจนบรรลุจะสามารถช่วยเหลือสำนักข้าผ่านพ้นภัยพิบัติเช่นกัน”
“สำนักชะตาลิขิตคืออะไร?”
“เอ่อ…”
ชายชรารู้สึกราวกับเดินในความมืดมิดและชนเข้ากับกำแพงครั้งแล้วครั้งเล่า
“สำนักชะตาลิขิตเป็นสำนักของผู้ฝึกปรือวิญญาณ แม้ไม่ใช่หนึ่งในสิบสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแต่ก็ไม่อ่อนด้อยเช่นกัน ข้าจะบอกให้เจ้าทราบ ประมุขตระกูลจางแห่งเมืองลั่วซีนี้ จางเจิ้นซานและบุตรชายมันจางหยางล้วนเป็นศิษย์สำนักธารน้ำแข็งทางทิศตะวันออกของมณฑลฉิงหยุนนี้ แม้นั่นเป็นเพียงสำนักเล็กๆ แต่ยามนี้เจ้ายังไม่เข้มแข็งพอจะต่อกรได้ กับตระกูลหยางทางที่ดีเจ้าควรต้องหลบซ่อนตัวเสีย”
‘ไป่หยุนเฟย’เงียบงันราวกับไตร่ตรองคำพูดของชายชรา ผ่านไปชั่วขณะมันก็สอบถามอีกครา
“อะไรคือผู้ฝึกปรือวิญญาณ”
“สิ่งมีชีวิตทุกอย่างในโลกนี้ล้วนประกอบด้วยร่างกายและจิตวิญญาณ ทุกผู้คนล้วนสามารถฝึกฝนร่างกาย แต่พวกมันเพียงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา ทว่าบางคนกลับสามารถฝึกฝนจิตวิญญาณและยกระดับพลังวิญญาณของตนได้ จากนั้นอาศัยการควบคุมร่างกายด้วยจิตวิญญาณ จึงดึงความสามารถซ่อนเร้นอันยิ่งใหญ่ออกมาได้ พวกมันกระทั่งสามารถใช้ประโยชน์จากพลังแห่งธาตุธรรมชาติเพื่อปลดปล่อยพลังอันไร้ขอบเขต บุคคลที่สามารถฝึกฝนจิตวิญญาณเหล่านี้ถูกเรียกขานว่าเป็น ผู้ฝึกปรือวิญญาณ”
“อ้างอิงจากพลังแห่งวิญญาณ พลังของผู้ฝึกปรือวิญญาณสามารถแบ่งแยกได้เป็น 9 ด่าน ได้แก่ นวกะวิญญาณ ปัจเจกวิญญาณ วีรชนวิญญาณ ภูตวิญญาณ บรรพชนวิญญาณ ราชันวิญญาณ จักรพรรดิวิญญาณ และเทวะวิญญาณ แต่ละด่านแบ่งแยกได้อีกสามระดับได้แก่ ต้น กลาง และปลาย”
“การเพิ่มพูนพลังวิญญาณนั้นยากเข็ญอย่างยิ่งยวด ประมุขแห่งตระกูลจาง จางเจิ้นซานนั้นบรรลุถึงระดับต้นด่านวิญญาณภูต และเจ้าสำนักธารน้ำแข็งเพียงบรรลุระดับกลางด่านวิญญาณบรรพชน”
“พลังวิญญาณของเจ้าได้เริ่มตื่นขึ้นแล้ว ยามที่มันตื่นขึ้นเต็มที่ เจ้าจะสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของพลังวิญญาณในร่างและบรรลุระดับต้นของด่านวิญญาณแรกเริ่ม”
“ข้าสามารถชี้แนะวิธีฝึกฝนวิญญาณและการใช้พลังวิญญาณแก่เจ้า ยามนี้…. เจ้าจะรับปากหรือไม่”
—————————————————————————————————————————————–คุยกันท้ายตอนสวัสดีครับผู้อ่านทุกคน
คงเป็นครั้งแรกที่ผมมากล่าวคำทักทายซึ่งตอนนี้จะพิเศษกว่าตอนที่ผ่านมาหลายอย่างอย่างแรกก็คือเป็นตอนต่อจากที่คนแปลคนก่อนแปลค้างไว้
(มั้ง?!? เพราะผมจำได้ลางๆว่าเค้าแปลไว้5ตอน)
อย่างที่สองคือเป็นจุดเปลี่ยนของพระเอกของเราทั้งร่างกายและจิตใจอย่างที่สี่คือตอนนี้ไม่รู้ทำไมผมว่ามันฮาดี พระเอกมันกวนหน้านิ่งดีครับ ตาแก่ที่จะสอนนี่แทบจะเอาหัวโขกกำแพงเพราะถึงกับต้องง้อพระเอกทีเดียวและสุดท้ายในที่สุดหลังจากเกริ่นมาหลายตอนก็เริ่มมีข้อมูลระดับขั้นการฝึกพลังวิญญาณโผล่มาแล้วครับสำหรับตอนนี้จริงๆแล้วแปลเสร็จตั้งแต่ยังไม่ดึกมากแต่มัวแต่คิดคำแปลของระดับชั้นการฝึกวิญญาณน่ะครับ
กว่าจะคิดออกครบถ้าตามภาษาอังกฤษก็จะแบ่งได้คือ Soul Apprentice, Soul Personage, Soul Warrior, Soul Sprite, Soul Ancestor, Soul Exalt, Soul King, Soul Emperor และ Soul Saint ส่วนระดับย่อยก็จะเป็น early, middle และ late
อาจจะแปลไทยไม่ค่อยตรงความหมายนักก็ปล่อยผ่านไปละกันนะครับ จากนี้คงใช้ชื่อเรียกแบบนี้และผมจะตามไปแก้ในตอนก่อนๆด้วยหรือท่านใดมีคำที่เหมาะสมกว่าก็แนะนำได้ครับสำหรับสำนวนและคำพูดนั้น
สารภาพว่าผมเองชอบนิยายกำลังภายในมากอ่านมาน่าจะเกินพันเล่มแล้ว เยอะกว่าหนังสือเรียนอีกครับก็เลยอยากลองแปลเป็นสำนวนแบบนิยายจีนดู ซึ่งเรื่องนี้แต่งโดยคนจีนผมรู้สึกว่าแปลเป็นสำนวนปกติมันแปลกๆและก็อีกอย่างการใช้คำของฉบับภาษาอังกฤษ ผมอ่านแล้วรู้สึกมันเอื้อให้แปลออกมาแบบนี้พอสมควร
ดังนั้นก็จะขอแปลในแนวทางนี้ต่อไปนะครับคงไม่ว่ากันและการแปลของผมนั้น ต้องขอชี้แจงก่อนว่าผมมีงานประจำที่ต้องทำอยู่ดังนั้นจะมีเวลาแปลไม่มากเท่าไหร่
เต็มที่คงได้ประมาณวันละ 50-75%ของตอนคงไม่สามารถแปลมาลงได้ทุกวัน
แต่ผมจะขอกำหนดวันไว้เพื่อบังคับตัวเองครับผมจะอัพตอนใหม่ทุกวันอังคาร พฤหัส และเสาร์ก่อนเที่ยงคืน คิดว่าน่าจะเหมาะสมกับการใช้ชีวิตของผมตอนนี้และก็ผมจะแปลไปเรื่อยๆนะครับ
ไม่ต้องห่วงท่านใดมีข้อคิดเห็นอะไรก็รบกวนชี้แนะด้วยนะครับขอบคุณครับ
ที่มา: