ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปสีหน้า ‘ไป่หยุนเฟย’ แปรเปลี่ยนไม่หยุด ไม่คิดว่าในค่ายจะมีสตรีชาวบ้านเช่นนี้อยู่อีก
กระนั้นนี่ไม่นับว่าแปลกประหลาด ทั้งค่ายมีโจรหลายร้อยคน พวกโจรชั่วช้าเหล่านี้ย่อมไม่ซักผ้าทำอาหารเอง ดังนั้นก็ไม่ผิดปกติที่จะเห็นสตรีที่ถูกคร่ากุมมาอยู่ในค่ายโจรนี้ เพียงแต่ตัวมันมองข้ามปัญหานี้มาตลอด
เมื่อใคร่ครวญดู นี่สมควรเป็นเหตุผลว่าไฉนกลุ่มโจรที่เผชิญก่อนหน้าจึงคร่ากุมสตรีมาด้วยหลังจากที่ทำลายล้างหมู่บ้านเสร็จสิ้น ‘ไป่หยุนเฟย’ กะเวลาชั่วครู่จึงกล่าว
“ไม่ต้องกังวล เมื่อข้าทราบแล้ว ย่อมต้องช่วยเหลือพวกท่านทุกคน ก่อนอื่นพาข้าไปยังที่พวกนางถูกคุมขัง ให้ข้าประเมินสถานการณ์ก่อน”
สตรีวัยกลางคนนั้นนำทาง ‘ไป่หยุนเฟย’ ไปยังอาคารซอมซ่อที่ดูเหมือนจะเป็นที่คุมขังหลังหนึ่ง มิคาดกลับไม่มีผู้คุมเฝ้าอยู่กระทั่งประตูยังไม่ได้ลั่นดาล
ก่อนที่จะเข้าไปถึง ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำช้าลามกจากบุรุษหลายคนพร้อมกับเสียงวิงวอนจากสตรีดังมาจากด้านใน
สีหน้ามันแปรเปลี่ยนทันที แต่สตรีวัยกลางคนนั้นราวกับคุ้นเคย ดวงตานางปรากฏแววหม่นหมอง
“พวกมันมาอีกแล้ว หลายวันมานี้พวกโจรอยู่อย่างหวาดผวามาตลอด พวกมันไม่มีที่ให้ปลดปล่อยความคับข้องใจจึงย่ำยีทรมานพวกนางเพิ่มเป็นสองเท่า…”
“หรือว่า… เป็นเพราะข้า?… เพราะข้าบีบคั้นโจรเหล่านี้พวกนางจึงถูกทรมานเป็นสองเท่า?”
‘ไป่หยุนเฟย’ นิ่งงันไปชั่วขณะ ในใจมันกลับรู้สึกยากบรรยาย
ทันใดมันพลันเงยหน้าขึ้น ร่างมันจู่ๆก็กลายเป็นเลือนรางพุ่งเข้าไปด้านใน
เมื่อเข้าไปด้านในมันก็เห็นเหตุการณ์ชัดตา ภายในแบ่งออกเป็นห้องขังขนาดเท่ากันอีกห้าห้อง แต่ละห้องมีสตรีราวสิบคนเบียดเสียดกันอยู่มุมห้องตัวสั่นสะท้าน
ในห้องขังใกล้สุด โจรหกคนร่างเปลือยเปล่ารุมล้อมหญิงสาวหลายคนช่วยกันฉีกกระชากเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของพวกนาง
พวกมันหันหลังให้ประตูจึงไม่พบเห็นว่ามีผู้บุรุก ‘ไป่หยุนเฟย’ สีหน้าบิดเบี้ยว ความเดือดดาลพวยพุ่งจากสองตา ชั่วพริบตาก็พุ่งตัวไปด้านหลังโจรผู้หนึ่งแล้วแทงหนามธารน้ำแข็งในมือใส่หัวใจมันโดยไม่ลังเล!
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เหล่าสตรีตื่นตระหนก ‘ไป่หยุนเฟย’ จึงไม่ฆ่าโจรทั้งหกให้นองเลือดเกินไป พวกมันถูกแทงหัวใจเสียชีวิตในชั่วพริบตา
สตรีทั้งหลายราวกับตื่นกลัวจนลืมตนจากเหตุการณ์เบื้องหน้า พวกนางอ้าปากค้างมอง ‘ไป่หยุนเฟย’ อย่างงงงัน
ยามนี้สตรีวัยกลางคนจึงเข้ามา เมื่อเห็น ‘ไป่หยุนเฟยโยน’ ซากศพทั้งหกกองรวมกันราวเศษขยะก็ร่างสั่นระริก แต่นางก็ปฏิกิริยารวดเร็วรีบเดินไปข้างกาย ‘ไป่หยุนเฟย’ และกล่าวเสียงค่อยบอกเหล่าสตรีในห้อง
“ทุกคนอย่าได้ส่งเสียง! อย่าได้หวาดกลัว! ท่านผู้นี้มาเพื่อช่วยพวกเรา!”
ดูเหมือนคำพูดสตรีวัยกลางคนจะมีน้ำหนักอยู่บ้าง อย่างน้อยเมื่อกล่าววาจาก็ทำให้พวกนางผ่อนคลายลง หลังจากเข้าใจสถานการณ์พวกนางก็เริ่มหารือกันเสียงค่อยอย่างตื่นเต้น ขณะที่ลอบมองไป่หยุนเฟยบ่อยครั้งด้วยท่าทีคาดหวังและหวาดกลัว
สิบนาทีต่อมา หลังจากเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าพวกโจร ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็เดินไปที่ประตูก่อนจะหันมากล่าวกับสตรีวัยกลางคน
“พวกท่านทุกคนรออยู่ที่นี้และปิดประตูให้แน่นหนา นอกจากข้ากลับมาไม่ว่ามีเรื่องใดก็อย่าได้เปิดประตู เข้าใจแล้วหรือไม่?”
มันสังเกตตำแหน่งดวงจันทร์จากนั้นกะเวลาอีกครา ‘ไป่หยุนเฟย’ อาศัยเงามืดของบ้านเรือนซ่อนกายขณะเร่งรุดไปยังบ้านที่รองหัวหน้าค่ายพักอยู่ตามข้อมูลจากสตรีวัยกลางคน
หยางเทียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงชักนำพลังวิญญาณโคจรปรับสภาพเพื่อเตรียมการออกสืบข่าวในคืนนี้ ทว่ามันกลับรู้สึกกระสับกระส่ายไม่อาจตั้งสมาธิฝึกปรือได้ ยิ่งมายิ่งกระวนกระวายมากขึ้นทุกที
ทันใดเสียงโห่ร้องพลันระเบิดขึ้นดังเข้ามาในห้อง เสียงผู้คนกู่ร้องดังแว่วมาระลอกแล้วระลอกเล่า
“รองหัวหน้า! แย่แล้ว! ศัตรูบุกขึ้นเขามาอีกคราแล้ว!”
เสียงตะโกนอย่างแตกตื่นดังมาจากนอกประตู หยางเทียนตระหนกยิ่งรีบคว้าดาบเล่มใหญ่ข้างกายเร่งรุดออกจากห้อง
ยามที่มันกระแทกประตูเปิดออก โจรที่รายงานแก่มันก็ยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้าง หยางเทียนไม่แยแสมันแม้แต่น้อย มันเร่งรุดไปยังห้องโถงใหญ่ของค่ายขณะเดียวกันก็ออกคำสั่ง
“บอกทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม! หัวหน้ากับ…”
ก่อนที่หยางเทียนจะกล่าวจบพลันรู้สึกเย็นเยียบที่กลางหลัง ขนลุกชันไปทั้งร่าง กลิ่นไอความตายพุ่งจู่โจมจิตใจ มันไม่มีเวลาครุ่นคิดมากความ รีบหันหลังกลับราวประกายไฟพร้อมกับดาบใหญ่ในมือยกขึ้นป้องอก
ขณะเดียวกันมันเตะเท้าขวาออกโดยสัญชาติญาณ กระแทกคนด้านหลังที่ลอบจู่โจมถอยหลังไป หลังจากถอยกายโครมครามไปหลายก้าว ‘หยางเทียน’ ก็รู้สึกเย็นยะเยือกที่ทรวงอกด้านซ้าย เมื่อมันก้มลงมองก็ต้องแตกตื่นตะลึงลานที่พบว่าใบดาบหนาหนักของดาบยาวในมือถูกทะลวงเป็นรูโหว่ กระทั่งทรวงอกมันยังปรากฏรูถูกทะลวงลึกครึ่งนิ้วจนแทบเอาชีวิตมันไป!
ฉวยโอกาสที่เกิดความวุ่นวายจากการบุกโจมตีของ ‘หลี่เฉิงเฟิง’ ที่เชิงเขา ‘ไป่หยุนเฟย’ ปลอมตัวเป็นผู้ส่งข่าวลอบจู่โจมศัตรู แต่มิคาดกลับถูกเป้าหมายหลบรอดได้
‘หยางเทียน’ รู้สึกถึงความเย็นเยียบปะทุจากบาดแผล ยามที่มันเงยหน้าอีกคราก็มองเห็นตะปูสีครามแวววับในมือคู่ต่อสู้ มันร่ำร้องอย่างแตกตื่น
“วัตถุวิญญาณ! เจ้าเป็น…”
ระหว่างต่อสู้ไม่สมควรกล่าววาจาไร้สาระ!
“ข้าต้องจบศึกนี้โดยเร็ว! หากหัวหน้าค่ายมาถึง ต้องย่ำแย่แล้ว!”
เมื่อถูกศัตรูกระแทกถอยไป ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็มีสีหน้าผิดหวังอยู่บ้างแต่มันก็ไม่หยุดยั้งลง เพียงสะบัดมือหนามธารน้ำแข็งก็สาบสูญไปแทนที่ด้วยทวนเปลวอัคคีสีแดงฉานในมือ ‘ไป่หยุนเฟย’ เหวี่ยงทวนพุ่งแทงไปยังหยางเทียน
“แหวนช่องมิติ? เป็นเจ้า!”
ยามที่ ‘หยางเทียน’ มองเห็นทวนสีแดงฉานก็มีสีหน้าแตกตื่น มันไม่กล้าสกัดท่าแทงนี้จึงเบี่ยงกายไปด้านข้างหลบเลี่ยงได้อย่างยากเย็น
กระนั้นมันก็นับเป็นผู้ฝึกปรือวิญญาณที่มากประสบการณ์ผู้หนึ่ง ชั่วพริบตาหยางเทียนก็เยือกเย็นลง อย่างน้อยเปลือกนอกมันก็แสดงออกเช่นนั้น ขณะที่หลบเลี่ยงและปัดป้องทวนสีแดงฉานก็ใช้ความคิดอย่างเร่งร้อน
“มิคาดว่ามันจะกล้าลอบเข้ามาในค่าย! ทว่ามันเพียงบรรลุด่านปัจเจกวิญญาณระดับกลาง แม้จะครอบครองอาวุธวิญญาณอันร้ายกาจในมือแต่หากข้าต้านรับมันจนกระทั่งหัวหน้ามาถึง… พวกเราย่อมเอาชนะได้!”
หลังจากฟื้นคืนความคิดต่อสู้หยางเทียนก็ค่อยๆพลิกฟื้นสถานการณ์กระทั่งยังเริ่มตอบโต้คืนได้ พวกมันทั้งคู่มีพลังสูสีกัน จึงพัวพันต่อสู้ประชิดภายใต้ประกายดาบและเงาทวน กลุ่มโจรที่รุดมาหลังจากได้ยินเสียงต่อสู้รวมตัวกันอยู่นอกประตูแต่ไม่มีผู้ใดกล้าสอดมือเข้าไป
ยิ่งต่อสู้ ‘ไป่หยุนเฟย’ ยิ่งเป็นกังวล เวลายิ่งผ่านสีหน้ามันยิ่งปั้นยาก กระนั้น ‘หยางเทียน’ กลับจิตใจฮึกเหิมราวกับยิ่งสู้ยิ่งห้าวหาญ
ดวงตา ‘ไป่หยุนเฟย’ ทอประกายเด็ดเดี่ยว มิคาดจู่ๆมันก็เปลี่ยนวิธีการต่อสู้ละทิ้งการป้องกันร่างกายส่วนใหญ่และเริ่มจู่โจมอย่างหักโหม
ดวงตา ‘หยางเทียน’ สาดประกาย มันคาดว่าคู่ต่อสู้ร้อนรนจนขาดสติ หลังจากหลบหลีกก็ฟาดฟันดาบใส่ ‘ไป่หยุนเฟย’ ต่อเนื่องโดยไม่ลังเล
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เสียงโลหะปะทะกันดังถี่ยิบ มิคาด ‘ไป่หยุนเฟย’ กลับต้องต้านทานพายุดาบที่โหมจู่โจมใส่ร่างมันอย่างรัดกุม ภายใต้การจู่โจมของผู้บรรลุด่านปัจเจกวิญญาณเช่น ‘หยางเทียน’ แม้แต่เกราะอ่อนระดับ +10 ก็ไม่อาจคงสภาพเดิมไว้ได้ บางดาบถึงกับฟันทะลุเข้าไปแต่ยังดีที่เกราะอ่อนต้านรับความเสียหายส่วนใหญ่ไว้แทน หว่างเอวของ ‘ไป่หยุนเฟย’ ปรากฏบาดแผลมากมาย ทว่านั่นเป็นเพียงบาดแผลผิวเผินเท่านั้น
‘หยางเทียน’ ต้องตื่นตระหนกอีกครา เมื่อมันฟันดาบถูกเอวด้านซ้ายคู่ต่อสู้ ก็ปรากฏแรงสะท้อนที่แปลกประหลาดพุ่งย้อนกลับมา นี่ไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นผลเพิ่มเติมของเกราะอ่อนระดับ +10 — สะท้อนความเสียหาย! เนื่องเพราะมันไม่คาดคิดมาก่อนดาบยาวจึงแทบหลุดกระเด็นออกจากมือ กระนั้นแขนของมันยังถูกกระแทกไปด้านหลัง ‘ไป่หยุนเฟย’ ฉวยโอกาสนี้เสือกทวนในมือออก ปลายทวนเปลวอัคคีก็ทอประกาย สีแดงฉาน
‘หยางเทียน’ พุ่งตัวหลบเต็มกำลัง แต่ปลายทวนยังคงแทงถูกไหล่ซ้าย มันเพียงรู้สึกถึงพลังอันร้อนแรงแผ่ซ่านไปทั้งร่างในพริบตา ไหล่ซ้ายของมันยังแสบร้อนราวไฟเผา กระทั่งไม่อาจรู้สึกถึงแขนซ้ายได้อีก!
น่าเสียดายที่การระเบิดไม่แสดงผลไม่เช่นนั้นด้วยการจู่โจมทวนนี้ก็เพียงพอจะสังหารมันได้!
ยามนี้ดวงตามันเปี่ยมด้วยความหวาดกลัว ‘หยางเทียน’ หวังจะล่าถอยหลบหนี แต่ ‘ไป่หยุนเฟย’ กลับพัวพันเอาไว้จึงได้แต่ต้านทานอย่างอับจนหนทาง
จากนั้นปรากฏเสียงโห่ร้องที่ประตู หยางเทียนกวาดตามองก็พบเห็นหานเซียวเร่งรุดมาก็มีสีหน้าปลาบปลื้ม มันกัดฟันจู่โจมดาบออกบีบให้ ‘ไป่หยุนเฟย’ ถอยไปครึ่งก้าว จากนั้นทะยานกายไปด้านข้างสุดกำลังสร้างระยะห่างจากไป่หยุนเฟย มันร่ำร้องสุดเสียง
“ท่านหัวหน้า ช่วยข้าด้วย…”
ขณะที่มันทะยานกายออกไปก็กวาดตามอง ‘ไป่หยุนเฟย’ กลับไม่เห็น ‘ไป่หยุนเฟย’ ไล่ตามมาจู่โจมก็ลอบยินดี เมื่อมันตั้งหลักได้จะหันกลับไปรุมสังหารคนผู้นี้พร้อมกับหัวหน้าค่าย ทว่ามันกลับมองเห็น ‘ไป่หยุนเฟย’ สะบัดมือซัดขว้างวัตถุสีครามออกจากมือราวสายฟ้า
ประกายแสงสีครามพุ่งวาบทะลวงผ่านทรวงอกมันออกไป!
ที่มา: