I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) ตอนที่ 23 การเคลื่อนไหวของตระกูลจางและยื่นมือช่วยเหลือ

| Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) | 879 | 2366 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ค่ายไม้ดำถูกเผาเป็นเถ้าถ่านภายใต้เปลวเพลิงพิโรธ พวกโจรถูกฆ่าล้างค่ายจนหมดสิ้น!

ข่าวนี้แพร่กระจายไปทุกแห่งหนอย่างรวดเร็วราวติดปีก ชาวบ้านใกล้เคียงภูไม้ดำที่ปกติถูกพวกโจรกดขี่ข่มเหงล้วนปีติยินดีที่สตรีซึ่งถูกฉุดคร่าไปกลับมาอย่างปลอดภัยและที่สำคัญรังโจรอันชั่วช้าก็ถูกทำลายสิ้นซากไป

เหล่าพ่อค้านายวาณิชในเมืองกานหลิงและเมืองลั่วซีล้วนตื่นเต้นยินดีจนต้องเฉลิมฉลอง จากนี้ไปพวกมันไม่ต้องหวาดผวายามขนส่งสินค้าข้ามเมืองอีกต่อไป

คฤหาสน์ตระกูลจางในเมืองลั่วซีกลับตกอยู่ในความซึมเซาผิดกับผู้คนทั่วไปที่ตื่นเต้นยินดี บรรยากาศอันหนักอึ้งนี้แพร่กระจาย ‘จากจางเจิ้นซาน’ ซึ่งนั่งตำแหน่งเจ้าบ้านในห้องรับแขกพลิกอ่านจดหมายด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

หลังจากอ่านจดหมายจบมันก็ก้มหน้าครุ่นคิดอย่างเงียบงันไปชั่วขณะ ยามที่เงยหน้าไปมองพ่อบ้านที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวว่า

“เตรียมการให้พร้อม ข้าจำต้องไปเมืองไป่เฟิงในบัดดล!”

“ขอรับนายท่าน”

พ่อบ้านรับคำแล้วรีบออกไปสั่งการบริวารให้เตรียมการ ยามที่รีบร้อนออกจากประตูก็พบกับคนผู้หนึ่ง มันรีบก้มศีรษะคารวะกล่าวว่า

“นายน้อย”

“เฮอะ”

คนผู้นั้นแค่นเสียงตอบอย่างไม่แยแสจากนั้นสาวเท้าเข้าห้องไป มันเก็บซ่อนท่าทีหยิ่งยโสวางอำนาจก้มศีรษะเล็กน้อยคำนับ ‘จางเจิ้นซาน’ และเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“บิดา ท่าน… จะออกเดินทาง?”

น้ำเสียงมันกลับเจือความคาดหวังอยู่บ้าง   คนผู้นี้ภายนอกสุภาพเรียบร้อยทั้งยังหล่อเหลา ทว่าไม่อาจปิดบังความดุร้ายอำมหิตที่เล็ดลอดออกมาจากดวงตาได้ — จะเป็นผู้ใดหากไม่ใช่ ‘จางหยาง’ !   ราวกับครุ่นคิดบางอย่างในใจ จางเจิ้นซานกล่าวเสียงราบเรียบ

“มิผิด บิดากำลังจะเดินทางกลับไปยังสำนัก…”

จากนั้นก็ส่งสายตาจับจ้องท่าทีเบิกบานของบุตรชายแล้วขมวดคิ้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“เจ้าคิดว่าหลังจากบิดาออกเดินทางจะสามารถเกียจคร้านและเที่ยวเล่นอย่างสะดวกดายกระมัง?”

“เอ่อ… ”

‘จางหยาง’ มิคาดว่าบิดาจะอ่านความคิดมันออก จึงมีท่าทีกระอักกระอ่วนกล่าวคำพูดใดไม่ออก

“เฮอะ! หรือเจ้าคิดว่าบิดาไม่ทราบแต่ละวันเจ้าทำอันใด? ทุกวี่วันเจ้าเอาแต่เที่ยวซ่องคณิกาคอยบั่นทอนตนเองด้วยการหาความสำราญ! ทารกหญิงตระกูลหลิวนั้นเกือบจะบรรลุด่านวีรชนวิญญาณระดับกลางแล้วแต่เจ้ายังย่ำเท้ากับที่ไม่อาจบรรลุกระทั่งด่านปัจเจกวิญญาณระดับปลาย!”

“พรสวรรค์เจ้าสูงล้ำทว่ากลับไร้ความมานะ ภายหน้าเจ้าจะหยั่งเท้าในสำนักอย่างไร? จะให้บิดาวางใจมอบตระกูลจางแก่เจ้าอย่างไร?!”

‘จางหยาง’ ที่ถูกบิดาตำหนิไม่กล้าเอ่ยปากกล่าววาจา ได้แต่ยิ้มประจบพลางพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับตั้งใจรับฟังบิดามันสอนสั่ง

“ผู้บุตรจะมุ่งมั่นปฏิบัติดังที่บิดาสอนสั่ง ต่อไปข้าจะฝึกฝนอย่างหนักไม่ให้ท่านต้องเสียหน้า”

“อืม หวังว่าเจ้าจะทำตามที่กล่าว ยามนี้บิดาต้องกลับสำนักราวสิบวันถึงหนึ่งเดือน เจ้าอยู่บ้านต้องวางตัวให้ดี อย่าได้คิดว่ามารดาตามใจเจ้าแล้วจะกระทำอันใดก็ได้ หากเจ้ายังไม่อาจบรรลุด่านปัจเจกวิญญาณระดับปลายก่อนบิดากลับมา…”

“บิดาโปรดวางใจ บุตรจะมุ่งมั่นพัฒนาพลังให้เร็วที่สุดและบรรลุด่านปัจเจกวิญญาณระดับปลายให้จงได้!”

‘จางหยาง’ ให้คำมั่นอย่างหนักแน่นแต่ในใจลอบยินดี ยามนี้จิตใจมันเตลิดไปถึงว่าจะเลือกอันใดระหว่างไปหาเสี่ยวชุ่ยแห่งหอหมื่นวสันต์กับเลือกหญิงสาวจากท้องถนนหลังจากได้รับอิสระภาพ

ในเมืองลั่วซี ชั้นสองของภัตตาคารบนถนนสายหลักอันครึกครื้น  ‘ไป่หยุนเฟย’ นั่งตำแหน่งใกล้ถนนรับประทานอาหารบนโต๊ะด้วยท่าทีเฉื่อยชาคอยจับตาผู้คนด้านนอก

‘ไป่หยุนเฟย’ กลับถึงเมืองตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน อาศัยการต่อสู้ที่ค่ายไม้ดำและการฝึกฝนกว่าครึ่งเดือนในที่สุดมันก็บรรลุด่านปัจเจกวิญญาณระดับปลาย ยังดีที่มันยังไม่ถูกครอบงำด้วยพลังและความเคียดแค้นรุดไปหา   ‘จางหยาง’ ทุ่มเททุกอย่างเพื่อล้างแค้น มันพักผ่อนหนึ่งวันเต็มจากนั้นเริ่มจับตามองพื้นที่บริเวณนี้อย่างถี่ถ้วน

เบื้องหน้าไม่ไกลเป็นประตูใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลจาง มีสิงโตศิลาสองตัวตั้งตระหง่านอยู่สองฟากข้าง ด้วยกำแพงสูงและประตูอันเลิศหรูตัวคฤหาสน์จึงแผ่กลิ่นไอความยิ่งใหญ่ออกมา อย่างน้อยในสายตาคนทั่วไปก็คิดเช่นนี้ ผู้คนที่ผ่านประตูใหญ่ของตระกูลจางกระทั่งยังชลอฝีเท้าโดยไม่รู้ตัวราวกับเกรงว่าเสียงเดินของพวกมันจะล่วงเกินตระกูลจางอันทรงอำนาจ

“ข้าจับตามองมาสองวันกลับไม่พบเห็น ‘จางหยาง’ ปรากฏกายแม้แต่คราเดียว เป็นเพราะมันอยู่แต่ในบ้านหรือมันไม่อยู่บ้านมาตลอด? หรือบางที… มันไม่เข้าออกทางประตูใหญ่?”

‘ไป่หยุนเฟย’ ครุ่นคิดด้วยความลังเลอยู่บ้าง ด้วยเกรงว่าจะเป็นที่สงสัยมันจึงไม่ได้จับจ้องที่ประตูใหญ่ตลอดเวลา ผู้ใดจะทราบว่าตระกูลจางมีสายสืบและบริวารเท่าใดอยู่ในเมือง มันสมควรระแวดระวังทุกความเคลื่อนไหว

“โอ?”

เมื่อ ‘ไป่หยุนเฟย’ ถอนสายตาไปมองถนนเบื้องล่างอย่างไม่ใส่ใจก็พบเห็นบางอย่างผิดปกติ มันพบเห็นชายสามคนลอบติดตามอยู่เบื้องหลังหญิงสาวนางหนึ่ง ที่จริงทั้งสามคนระมัดระวังตัวอย่างยิ่งราวกับช่ำชองในการลอบติดตามเช่นนี้ หญิงสาวผู้นั้นจึงไม่พบเห็นพวกมัน แม้แต่ ‘ไป่หยุนเฟย’ หากไม่มองจากที่สูงลงมาก็ไม่อาจพบเห็นโดยง่ายเช่นกัน

‘ไป่หยุนเฟย’ ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง มิคาดเห็นหญิงสาวนั้นมุ่งหน้าไปทางรกร้างห่างไกลจึงไม่ลังเลรีบลุกขึ้นและลงจากภัตตาคารติดตามนางไป

ในตรอกที่เงียบงัน พลันมีเสียงร้องกระชั้นสั้นดังออกมาตามด้วยเสียงอู้อี้แผ่วเบาราวกับปากของคนใครบางคนถูกอุดไว้ก่อนจะทันได้ส่งเสียงร่ำร้องด้วยความหวาดกลัว

ผู้คนสองสามคนเดินอยู่ใกล้ปากตรอก พวกมันย่อมต้องได้ยินเสียงประหลาดนั้นทว่ากลับไม่มีผู้ใดแยแส กลับกันพวกมันสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยเร่งรุดจากไป เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการตอแยหาเรื่องใส่ตัว

ภายในตรอก ชายร่างใหญ่สองคนคิ้วดกหนาตาโปนโตและชายร่างเล็กท่าทางดั่งขโมยกำลังร่วมกันแบกกระสอบป่านที่ใช้เชือกมัดพันไว้

“ฮ่า ฮ่า ไม่คิดว่าครานี้กลับพบหงส์ในหมู่มนุษย์ หากนำไปมอบให้นายน้อยท่านย่อมตบรางวัลพวกเราอย่างงาม!”

“มิผิด สตรีผู้นี้แม้ไม่หยาดเยิ้มเท่าลูกนกที่ถูกจับเมื่อวานแต่ก็เป็นสาวพรหมจรรย์เช่นกัน นายน้อยชื่นชอบสตรีประเภทนี้ยิ่ง อีกทั้งยามนี้ดูเหมือนนายน้อยอดกลั้นมานานจนแทบทนไม่ไหว ถึงขนาดให้พวกเรากระทำทุกวิธีทางหาสตรีที่ท่านพึงพอใจไปให้ต่อให้ต้องคร่ากุมโดยเปิดเผยก็ตาม…”

“อืม นายน้อยนับว่าร้อนรนถึงกับต้องการสตรีในคืนนี้ หากไม่มีสตรีที่ถูกคร่ากุมไปเมื่อคืนวาน ท่านต้องชมชอบสตรีที่พวกเราคร่ากุมได้ผู้นี้ที่สุด… เฮอะ ข้ากลับไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าหัวหน้าไปพบสตรีนางนั้นที่ใด ความงามของนางถึงกับทำให้ผู้คนพลุ่งพล่าน ย่ำแย่นักที่นางกับนายน้อย…”

“เอาเถอะ เลิกกล่าววาจาไร้สาระแล้วรีบแบกนางไปเถอะ อย่าได้ให้ผู้คนพบเห็นพวกเรามากเกินไปนัก”

ชายร่างเล็กด้านข้างกล่าวตัดบทเร่งรัดพวกมันด้วยความขุ่นข้องใจอยู่บ้าง

กระนั้นมันต้องขุ่นเคืองยิ่งขึ้นเพราะชายร่างใหญ่ทั้งสองแม้จะหยุดปากแต่กลับไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย

ขณะที่หันศีรษะกลับไปจะตำหนิ ก็เห็นทั้งคู่อ่อนระทวยล้มลงกับพื้นโดยปราศจากเสียง นับว่าสร้างความตื่นตระหนกแก่มันยิ่ง แต่ก่อนจะทันได้หันกายไปก็พลันเจ็บปวดที่ท้ายทอย จากนั้นก็ตาเหลือกทรุดลงสิ้นสติไป

กระสอบป่านถูกแก้ออกอีกคราเผยให้เห็นหญิงสาวที่ถูกอุดปากและพันธนาการเอาไว้

นางร่ำไห้ไม่ขาดสายมองชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยท่าทีหวาดผวา

ชายหนุ่มยิ้มให้แก่นางและกล่าววาจานุ่มนวล

“อย่าได้หวาดกลัว ข้ามาช่วยท่าน สักครู่จะแก้มัดให้แต่ท่านต้องไม่ร่ำร้องตะโกน เข้าใจหรือไม่?”

กล่าวจบก็แก้ปมบนร่างหญิงสาวพยุงนางยืนขึ้น จากนั้นชี้นิ้วไปยังปากตรอกกล่าวว่า

“รีบไป ต่อไปให้ระวังตัวยามไม่ได้อยู่ที่บ้าน อย่าได้ไปยังที่เปลี่ยวร้างห่างไกลผู้คนอีก…”

หลังจากมองเห็นหญิงสาววิ่งออกจากตรอกไป ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็ก้มศีรษะมองชายทั้งสามบนพื้นอย่างครุ่นคิด

“ตามที่พวกมันกล่าว ดูเหมือนยังมีสตรีที่ถูกคร่ากุมไปมอบแก่ผู้ที่เรียกว่า‘นายน้อย’นั้นอีก… เมื่อข้าสอดมือเข้ามาแล้วย่อมต้องช่วยเหลือนางเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจข่มตาหลับได้”

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments