I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) ตอนที่ 30 สำนักทั้งหลายในแผ่นดิน

| Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) | 934 | 2355 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

‘ชิวลู่หลิว’ ชะงักรอยยิ้มขมวดคิ้วเล็กน้อยกล่าวว่า

“ว่ากระไร? คนผู้นั้นคือนายน้อยตระกูลจาง? หากเป็นเช่นนั้นย่อมยุ่งยากไม่น้อยแล้ว…”

“แต่พวกเราไม่ได้กระทำอันใดผิด ต่อให้จางเจิ้นซานประมุขตระกูลจางเสาะหาพวกเรา สำนักธารน้ำแข็งของมันมีอันใดวิเศษ? สำนักหลิวขจีเราไม่มีอันใดต้องเกรงกลัวพวกมัน!”

‘ชิวลู่หลิว’ เพียงขมวดคิ้วคราเดียว หลังจากใคร่ครวญชั่วครู่จึงกล่าวอย่างไม่แยแส

“มิหนำซ้ำจางหยางผู้นั้นกลับหมายข่มเหงศิษย์น้องข้า ยังดีที่นางไร้อันตราย ไม่เช่นนั้นต่อให้ท่านไม่ลงมือสังหารข้าก็ไม่ละเว้นมัน!”

“จริงสิ เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ข้ายังมิได้ขอบคุณท่านที่ช่วยศิษย์น้องเอาไว้ เพื่อหาเบาะแสข้าต้องเสียเวลามากมาย หากท่านไม่ปรากฏตัวคงมีแต่สวรรค์ที่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นก่อนข้าไปถึง”

ราวกับนางไม่เห็นตระกูลจางและสำนักธารน้ำแข็งเบื้องหลังพวกมันอยู่ในสายตา นางกล่าวถึงเรื่องนี้เพียงไม่กี่ประโยคอย่างปลอดโปร่งก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นการขอบคุณ ‘ไป่หยุนเฟย’

“เมื่อท่านมีหนทางจัดการเรื่องนี้ ข้าจะไม่กล่าวย้ำอีก และท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า แม้เดิมทีข้าไปเพื่อช่วยเหลือศิษย์น้องท่าน แต่เมื่อทราบว่าผู้มาคือจางหยางนี่กลับเป็นการล้างแค้นส่วนตัว ข้าไม่อาจกล่าวอ้างบุญคุณนี้ได้”

‘ไป่หยุนเฟย’ สั่นศีรษะกล่าวอย่างกระดาก

“นั่น… นั่นกลับไม่จริง หากท่านไม่ปรากฏกาย คนชั่วนั้นต้องขึ้นมาชั้นบนก่อนแล้ว ขณะที่ศิษย์พี่มาถึงในครึ่งชั่วโมงให้หลัง หากไม่ใช่ท่าน ข้าคงถูก… ข้า ข้าสำนึกบุญคุณที่ท่านช่วยข้าเอาไว้อย่างยิ่ง…”

น้ำเสียงเขินอายจากด้านหลังชิวลู่หลิวกลับเป็นหญิงสาวนามฉู่อวี้เหอกล่าววาจา นางรวบรวมความกล้าชะโงกหน้าออกมาคารวะไป่หยุนเฟย ด้วยน้ำเสียงอันไพเราะของนาง

นางอายุราวสิบหกปี สูงหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรแต่งกายด้วยชุดสีเขียวสดใสทั้งร่าง ผมยาวสลวยปล่อยระแก้มทั้งสองข้างปิดบังใบหน้ารำไร ผิวกายนางเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาด นางใช้ดวงตากลมโตมองดู ‘ไป่หยุนเฟย’ อย่างขวยเขิน ท่าทางนางน่ารักยิ่งนัก

“เอ่อ… แม่นาง ท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ข้าเพียงฆ่าจางหยางเพื่อแก้แค้น แม้จะช่วยท่านไว้ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ… เอ่อ ข้าหมายถึง เป็นเกียรติที่ได้ช่วยท่านไว้โดยบังเอิญ… อา ข้าจะกล่าวว่าท่านไม่ต้องจดจำใส่ใจ…”

‘ไป่หยุนเฟย’ กล่าวพลางโบกมือแผ่วเบา มันกลับรู้สึกกระสับกระส่ายยามถูกสายตาขวยเขินของนางจ้องมอง

“คิก…”

‘ฉู่อวี้เหอ’ อดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมายามที่ได้ยิน ‘ไป่หยุนเฟย’ กล่าวตะกุกตะกักโบกมือขณะที่ใบหน้ายิ้มอย่างโง่งม จากนั้นนางรีบปิดปากและซ่อนร่างด้านหลัง ‘ชิงลู่หลิว’ อีกครา ทั้งใบหน้านางเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความเขินอาย

‘ชิวลู่หลิว’ ก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาเช่นกัน

“ฮ่า ฮ่า… คุณชาย ไม่นึกว่าท่านสามารถแสดงท่าทางดั่งคนทั่วไปเช่นนี้ได้”

“เอ่อ…”

‘ไป่หยุนเฟย’ อับอายไม่น้อย อันที่จริงเมื่อ ‘ฉู่อวี้เหอ’ ขอบคุณมัน ความคิดว่าพลีกายแทนคุณก็ปรากฏวาบในจิตใจ แม้แต่มันก็ยังแตกตื่นต่อความคิดตนเอง มันไม่ทราบว่าไฉนจึงมีความคิดผิดศีลธรรมเช่นนี้ ด้วยความละอายต่อมโนธรรมจึงทำให้มันกล่าวตะกุกตะกัก

‘ไป่หยุนเฟย’ กระแอมไอสองสามคราเพื่อคลายบรรยากาศกระอักกระอ่วน จากนั้นจึงกล่าววาจาด้วยท่าทีเคร่งขรึม

“แม่นาง ข้าอยากหารือบางอย่างกับพวกท่าน หวังว่าพวกท่านจะให้ความกระจ่างแก่ข้าได้”

“โอ? ท่านต้องการทราบอันใด? บอกมาเถอะ ท่านต้องการทราบว่าศิษย์น้องข้าอายุเท่าใด ออกเรือนแล้วหรือไม่กระมัง?”

‘ชิวลู่หลิว’ ยังคงหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์พี่ ท่าน…”

‘ฉู่อวี้เหอ’ ที่ด้านหลังพลันกระตุกชายเสื้อประท้วงศิษย์พี่นางด้วยท่าทีอันน่ารัก

“เอ่อ… อืม แม่นางชิวลู่หลิว ข้าเพียงอยากทราบเรื่องราวของสำนักช่างประดิษฐ์ ว่าเป็นสำนักเช่นไร? และตั้งอยู่ที่ใด?”

“โอ? เช่นนั้นท่านก็ไม่ได้มาจากสำนักช่างประดิษฐ์? มิหนำซ้ำท่านยังไม่ทราบอันใดเกี่ยวกับสำนักนี้แม้แต่น้อย?”

‘ชิวลู่หลิว’ ถามอย่างสงสัยโดยไม่มีท่าทีล้อเล่นอีก

“ข้าไม่เป็นศิษย์สำนักใด เพียงเคยพบพานและได้รับเคล็ดฝึกปรือวิญญาณจากผู้อาวุโสสำนักชะตาลิขิต  ทว่าข้ากลับไม่ได้เข้าเป็นศิษย์ของสำนัก”

‘ไป่หยุนเฟย’ กล่าวอธิบาย

“ว่ากระไร? สำนักชะตาลิขิต?!”

‘ชิวลู่หลิว’ ร่ำร้องเสียงค่อย สีหน้ากังขาของนางแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจยิ่ง

“โอ มีอันใด? หรือว่าสำนักชะตาลิขิตโด่งดังอย่างยิ่ง?”

ยามนี้กลับเป็น ‘ไป่หยุนเฟย’ ที่ถามอย่างลังเล

“โด่งดังอย่างยิ่ง? ไม่เพียงแค่คำว่า‘อย่างยิ่ง’ ข้าคิดว่าท่านคงเป็นหนึ่งในผู้ฝึกปรือวิญญาณไม่กี่คนในแผ่นดินวิญญาณสวรรค์ที่ไม่รู้จักสำนักชะตาลิขิต”

เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของ ‘ไป่หยุนเฟย’   ‘ชิวลู่หลิว’ จึงกล่าวต่อด้วยท่าทีท้อแท้อยู่บ้าง

“สำนักชะตาลิขิตแม้ไม่ได้เป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่แต่ก็มีฐานะเทียบเทียมกัน สำนักชะตาลิขิตเชื่อถือในโชคชะตาและมุ่งความสนใจต่อมติแห่งสวรรค์ เคล็ดฝึกปรือวิญญาณของสำนักก็แปลกพิสดาร ตามตำนานเล่าขาน ผู้คนของสำนักจะใช้วิญญาณของตนเพื่อรับรู้มติแห่งสวรรค์และใช้‘วิญญาณชะตา’นี้เพื่อค้นหาหนทางแห่งโชคชะตา ดังนั้นพวกมันจึงสามารถล่วงรู้อดีตหยั่งรู้อนาคตได้”

“สำนักทั้งหลายถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการชี้นำจากสำนักชะตาลิขิต ทุกคราที่พวกมันเผชิญภัยพิบัติล้วนคาดหวังว่าสำนักชะตาลิขิตจะชี้นำหนทางให้ มิหนำซ้ำทุกสำนักที่ได้รับความช่วยเหลือจากสำนักชะตาลิขิตท้ายที่สุดล้วนสามารถกลับร้ายกลายเป็นดีได้”

‘ไป่หยุนเฟย’ ซึมซับข้อมูลที่เข้าหู มันไม่คาดคิดว่าสำนักชะตาลิขิตจะมีความสำคัญถึงเพียงนี้

“เมื่อท่านได้รับการชี้แนะจากผู้อาวุโสสำนักชะตาลิขิต ท่านคงร่ำเรียนเคล็ดวิชาหยั่งรู้อนาคตมากระมัง?”

‘ชิวลู่หลิว’ มองดู ‘ไป่หยุนเฟย’ ด้วยแววตาเป็นประกาย

“เอ่อ… ข้าต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว ผู้อาวุโสท่านนั้นเพียงชี้แนะเคล็ดฝึกปรือวิญญาณขั้นพื้นฐานและมอบแหวนช่องมิติกับวัตถุวิญญาณไม่กี่ชิ้นแก่ข้าเท่านั้น หาได้มีเคล็ดวิชาลึกลับที่ท่านกล่าวถึงไม่”

“อืม ข้าเข้าใจแล้ว…”

‘ชิวลู่หลิว’ กล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

“นั่นก็ใช่แล้ว จะให้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาเร้นลับของสำนักชะตาลิขิตแก่คนนอกได้อย่างไร? คาดว่าผู้อาวุโสจากสำนักชะตาลิขิตที่ท่องไปทั่วแผ่นดินคงพบว่าตนเองและคุณชายมีวาสนาต่อกัน จึงมอบโอกาสเปลี่ยนชะตาชีวิตใหม่แก่ท่าน เหตุการณ์เช่นนี้กลับเกิดขึ้นในทวีปวิญญาณสวรรค์หลายครั้งหลายคราแล้ว”

“เพราะมีวาสนาต่อกัน?…”

‘ไป่หยุนเฟย’ ครุ่นคิดถึงคำพูดของชายชราจากสำนักชะตาลิขิตคืนนั้นก็ลอบฝืนยิ้มในใจ ยามนี้มันทราบแล้วว่าตนเองติดค้างหนี้บุญคุณต่อสำนักชะตาลิขิตมากมายนัก

“แล้วสำนักช่างประดิษฐ์เป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่ที่ท่านกล่าวถึงหรือไม่? อะไรคือสิบสำนักใหญ่? โปรดบอกเล่าเรื่องราวของสำนักช่างประดิษฐ์แก่ข้าด้วยเถอะแม่นางชิว”

‘ไป่หยุนเฟย’ ครุ่นคิดชั่วขณะจึงสอบถามต่อ

“ดูเหมือนท่านจะไม่ทราบอันใดจริงๆ?”

‘ชิวลู่หลิว’ อดไม่ได้ต้องส่ายศีรษะและเริ่มอธิบายเรื่องราวประหนึ่งสอนหนังสือทารก

“สิบสำนักใหญ่ได้แก่ สำนักวิญญาณสวรรค์ สำนักช่างประดิษฐ์ สำนักหลอมวิญญาณ สำนักจ้าวอสูร สำนักวายุอัสนีและสำนักเบญจธาตุ”

“สำหรับสำนักเบญจธาตุนั้นไม่ใช่ชื่อของเพียงสำนักเดียว แต่กลับเป็นชื่อรวมของห้าสำนักอันประกอบด้วย ธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟและธาตุดิน เมื่อบรรลุถึงด่านภูตวิญญาณท่านจะสามารถควบคุมธาตุในธรรมชาติได้ ผู้ฝึกปรือวิญญาณทั้งหลายมักจะผูกพันธะกับหนึ่งในธาตุทั้งห้าจึงทำให้สำนักทั้งห้าธาตุมีศิษย์มากมายยิ่ง แต่ห้าสำนักที่เหลือก็มีศิษย์จำนวนไม่น้อยเช่นกัน อันที่จริงหากนับเพียงเฉพาะสำนักแต่ละธาตุกลับด้อยกว่าห้าสำนักใหญ่อื่นๆไม่น้อย สถานะพวกมันเพียงเหนือกว่าสำนักที่ระดับใกล้เคียงสิบสำนักใหญ่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

“ทั้งห้าสำนักจึงรวมตัวกันประหนึ่งนกที่ขนเหมือนกันย่อมอยู่รวมกัน สำนักเหล่านี้ร่วมมือกระทำการร่วมกันตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง จึงเป็นที่เหตุให้พวกมันถูกนับรวมในสิบสำนักใหญ่ร่วมกัน แน่นอนว่าท่านสามารถนับทั้งห้าเป็นหนึ่งสำนักได้ แต่ท่านต้องเรียก‘หกสำนักใหญ่แทนที่จะเป็น‘สิบสำนักใหญ่”

“สำนักวายุอัสนีมีเคล็ดวิชาที่อาศัยพลังจากลมและสายฟ้าในการฝึกปรือ พวกมันมักขัดแย้งกับสำนักเบญจธาตุ เพราะคราหนึ่งเกิดการต่อสู้กับสำนักธาตุน้ำและเอาชนะได้ อีกสี่สำนักธาตุที่เหลือจึงยกกำลังมาโจมตี สร้างความเสียหายแก่สำนักวายุอัสนีอย่างใหญ่หลวง ทั้งสองฝ่ายจึงอาฆาตแค้นกันและกันตั้งแต่นั้น เมื่อใดที่ศิษย์พวกมันเผชิญหน้ากันต้องต่อยตีกันแทบทุกครา”

“สำนักเจ้าสัตว์อสูรเป็นสำนักที่แปลกพิสดาร ผู้คนในสำนักแทบไม่เคยต่อสู้ด้วยตนเองแต่ควบคุมอสูรวิญญาณใช้ต่อสู้แทน ผู้ฝึกปรือวิญญาณทั่วไปที่สามารถสร้างพันธะวิญญาณกับอสูรวิญญาณได้เพียงหนึ่งตัว แต่พวกมันกลับมีเคล็ดวิชาเร้นลับที่ช่วยให้สามารถควบคุมอสูรวิญญาณโดยตรงพร้อมกันหลายตัวในคราเดียวประหนึ่งเชิดหุ่น นับว่าสำนักพวกมันเป็นศัตรูตัวฉกาจของเหล่าอสูรวิญญาณก็ว่าได้ ตามคำร่ำลือกล่าวว่าอสูรวิญญาณระดับแปดตนหนึ่งที่อาศัยอยู่ลึกเข้าไปในป่าอสูรวิญญาณเคยนำกองทัพอสูรวิญญาณเข้าโจมตีสำนักใหญ่ของสำนักจ้าวอสูรเพื่อปลดปล่อยอสูรวิญญาณจากการถูกกดขี่ ทว่าพวกมันกลับต้องเผชิญกับอสูรวิญญาณด้วยกันที่ถูกควบคุมให้ต่อสู้ ตามคำเล่าขานบอกว่าสำนักจ้าวอสูรถึงกับต้องพึ่งพาอสูรวิญญาณระดับแปดของสำนักเข้าต่อสู้ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต้องประสบความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ข้าเองก็ไม่ทราบสถานการณ์อย่างกระจ่างนัก”

“สำนักหลอมวิญญาณนั้น กลับไม่ได้หลอมวิญญาณของตนแต่เป็นวิญญาณของผู้อื่น! หากสำนักจ้าวอสูรเป็นศัตรูตัวฉกาจของอสูรวิญญาณ สำนักหลอมวิญญาณนี้ก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้ฝึกปรือวิญญาณทั้งหลาย! พวกมันทั้งสำนักล้วนเลวทรามต่ำช้า เคล็ดฝึกปรือวิญญาณของสำนักนับว่าประหลาดพิกลอย่างยิ่ง พวกมันดูดกลืนวิญญาณผู้อื่นเพื่อเสริมพลังของตน ผู้มีฝีมือร้ายกาจที่สุดในพวกมันยังสามารถหลอมวิญญาณผู้คนเพื่อดูดกลืนพลังจากแก่นวิญญาณ! แม้ว่าโลกของผู้ฝึกปรือวิญญาณจะถือผู้เข้มแข็งเป็นฝ่ายถูกต้องและพูดคุยด้วยพลัง แต่สำนักหลอมวิญญาณกลับถือเป็นฝ่ายอธรรมอันชั่วร้ายไม่ว่าผู้ใดก็มีสิทธิ์ลงทัณฑ์!”

“สำนักวิญญาณสวรรค์มีนามเดียวกับแผ่นดินแห่งนี้ ด้วยเหตุผลเดียว — สำนักวิญญาณสวรรค์เป็นสำนักของราชวงศ์แห่งอาณาจักรวิญญาณสวรรค์! เมื่อก่อตั้งด้วยการสนับสนุนจากอาณาจักรย่อมคู่ควรที่จะเป็นสำนักที่เข้มแข็งที่สุดในแผ่นดิน ในสำนักมากด้วยผู้มีความสามารถอีกทั้งผู้เปี่ยมพรสวรรค์ที่สำเร็จวิชาจากสำนักก็มีมากมายต่อเนื่อง นับเป็นสำนักในอุดมคติในสายตาของผู้ฝึกปรือวิญญาณทั่วไป เจ้าสำนักของสำนักวิญญาณสวรรค์คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน องค์จักรพรรดิอู่หง อีกทั้งกว่าครึ่งของข้าหลวงที่ปกครองทั้งสิบหกมณฑลของอาณาจักรก็มาจากสำนักแห่งนี้ กล่าวได้ว่าสำนักวิญญาณสวรรค์เป็นผู้พิทักษ์ของอาณาจักรแห่งนี้ แม้จะไม่เคยเข้าร่วมแก่งแย่งชิงดีแต่ก็คอยตรวจสอบและถ่วงดุลย์อำนาจในแผ่นดินตลอดมา อีกทั้งด้วยกุศโลบายอันชาญฉลาดและการดำเนินการของสำนักที่ถ่ายทอดแก่องค์จักรพรรดิแต่ละรุ่น ความรุ่งเรืองกว่าสองพันปีของอาณาจักรต้องนับว่าสำนักวิญญาณสวรรค์นี้มีส่วนสำคัญยิ่ง”

“ความรุ่งเรือง กุศโลบายอันชาญฉลาด และการดำเนินการ?…”

‘ไป่หยุนเฟย’ เม้มปากด้วยท่าทีที่ไม่อาจสังเกตความในใจออกขณะครุ่นคิดถึงสิ่งที่รบกวนจิตใจตนเองนี้

“นี่กลับเป็นเพียงความคิดฝ่ายเดียวของผู้มั่งมีและสุขสบาย นั่นเป็นเพียงการคาดฝันของท่าน มีเพียงไม่กี่คนที่ล่วงรู้ถึงความมืดมิดของสังคมและการดิ้นรนอันเจ็บปวดของผู้ที่‘ต่ำต้อย’เหล่านั้น…”

ด้วยท่าทีของอาจารย์ผู้สอนสั่ง  ‘ชิวลู่หลิว’ ราวกับน้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นทุกทีที่กล่าววาจา อาจเพราะนางพบว่าท่าทีที่’ไป่หยุนเฟย’ รับฟังอย่างตั้งใจราวทารกในโอวาทช่างน่าขบขัน นางยกมุมปากหัวเราะเบาๆจากนั้นจึงกล่าวต่อ

“ต่อไปข้าจะอธิบายถึงเรื่องราวของสำนักช่างประดิษฐ์ที่ท่านต้องการทราบที่สุด…”

—————————————————————————————————

พรุ่งนี้ผมต้องไปต่างจังหวัดแต่เช้ากลับมาอีกทีวันศุกร์เย็น คงไม่มีเวลาอัพเลยรีบอัพไว้ก่อนครับขออนุญาตแก้ไขเนื้อหาบางส่วนครับ1.ชื่อคน จาก ‘ฉู่ยู่เหอ’ เป็น ‘ฉู่อวี้เหอ’ และหลานผู้เฒ่าอู๋ที่ชื่อ ‘เสี่ยวยู่เอ๋อร์’  เปลี่ยนเป็น’เสี่ยวอวี้เอ๋อร์’  ครับ 2.ทวีปเทียนหุน เปลี่ยนเป็นแผ่นดินวิญญาณสวรรค์ เนื่องจาก ENG เปลี่ยนจากชื่อทับศัพท์เป็นแปลความหมายครับ3.แก้ไข คำว่า ทวีป เป็นแผ่นดิน คำว่าจักรวรรดิ เป็นอาณาจักรครับ

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments