I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) ตอนที่ 41 ลาจาก หายนะมาเยือน

| Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) | 1275 | 2362 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ยามค่ำคืน  ‘ไป่หยุนเฟย’ นอนบนเตียง แยกแยะข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการอัพเกรดที่ได้รับมาในหลายวันนี้อย่างถี่ถ้วน

“เมื่ออัพเกรดถึงระดับ +10 +12 และ+13 สิ่งของจะเกิดผลกระทบพิเศษเพิ่มเติม แม้ที่ไปถึงระดับ +13 จะเป็นเพียงก้อนอิฐ แต่เพราะ +10 และ +12 จะปรากฏผลกระทบพิเศษเสมอ คาดว่าเมื่อสิ่งของอื่นอัพเกรดถึง +13 ก็จะปรากฏผลกระทบเพิ่มขึ้นเช่นกัน”

“จาก 10 ไป 12 ถือเป็นหนึ่งขั้น แต่เมื่อถึง 13 ผลกระทบพิเศษก็ปรากฏขึ้นอีก นี่มิใช่หมายความว่าจากระดับ 13 เป็นต้นไปทุกครั้งที่สิ่งของอัพเกรดขึ้นอีกระดับจะปรากฏผลกระทบพิเศษขึ้นอีกหรือ? แต่ทว่า… ยามนี้ข้าอับจนปัญญาจะทดสอบสมมุติฐานได้จริงๆ! ช่างยากที่จะอัพเกรดสิ่งของถึงระดับ +13 นัก…”

“เมื่อถึงระดับ +12 และ +13 ความเสียหายเพิ่มเติมของอาวุธทั่วไปกลับเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ หากเปลี่ยนเป็นวัตถุวิญญาณจะเป็นเช่นเดียวกันหรือไม่ โธ่ ยามนี้ข้าได้แต่คาดเดาเพราะข้าไม่มีวัตถุวิญญาณมากมายมาทดลองสมมุตติฐานนี้… เข็มเงินวิญญาณน้ำแข็งของข้าก็ถูกทำลายไปก่อนจะทันได้ลองใช้อีก…”

“ผลกระทบเพิ่มเติมช่างหลากหลายชนิด บางอย่างกลับไม่มีประสิทธิภาพนักโดยเฉพาะที่มีกำหนดเวลา หากคู่ต่อสู้ร้ายกาจย่อมสามารถฟื้นคืนได้ก่อนเร็วกว่าที่กำหนด”

“ยามนี้ข้าเพียงทราบรายละเอียดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ในเวลาอันใกล้นี้ข้าไม่มีเวลาที่จะค้นคว้าเช่นนี้ได้อีก พรุ่งนี้ข้าก็ต้องออกพเนจรยังโลกภายนอกแล้ว!”

‘ไป่หยุนเฟย’ ลุกขึ้นนั่งและหยิบมีดสั้นออกจากแหวนช่องมิติ

“ยังเหลือมีดสั้นอีกสิบกว่าเล่ม สมควรเพียงพอให้ข้าใช้พลังวิญญาณจนหมดสิ้นอีกครั้ง…”

“ข้าจะได้ทะลวงอุปสรรคสุดท้ายเพื่อบรรลุระดับกลางด่านวีรชนวิญญาณในคืนนี้เสียที!”

“อัพเกรด!”            ……            … … … …

เช้าตรู่วันต่อมา ยามแสงแรกของรุ่งอรุณส่องกระทบใบหน้า  ‘ไป่หยุนเฟย’ จึงค่อยๆลืมตาขึ้น

มันลุกขึ้นนั่งและยกมือขึ้นกำหมัดตรงหน้า ดวงตาฉายแววพึงพอใจ

“ระดับกลางด่านวีรชนวิญญาณ… ข้าเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว ตระกูลจาง… ไม่ว่าพวกเจ้าจะมีอำนาจปานใดก็ไม่อาจคร่ากุมข้าโดยง่ายอีกแล้ว!”

บนเชิงเขานอกหมู่บ้าน  ‘ไป่หยุนเฟย’ มองดู ‘หลี่เฉิงเฟิง’ และ ‘หลิงเอ๋อร์’ ตรงหน้าอย่างเงียบงัน เนิ่นนาน         จึงเอ่ยปาก

“ไม่ต้องกล่าวคำอำลาแล้ว อย่าให้พวกเราต้องสะเทือนใจ  ‘เฉิงเฟิง’ ข้าเชื่อว่าสักวันเราต้องได้พบกันในที่สุด พวกเราทั้งคู่ต้องสร้างชื่อให้สะเทือนโลกอันกว้างใหญ่เบื้องนอก!”

‘หลี่เฉิงเฟิง’ เงียบงันไปชั่วครู่ก่อนจะฝืนยิ้มกล่าวว่า

“ตกลง เช่นนั้นข้าจะไม่กล่าวมากความ  ‘หยุนเฟย’ เจ้าต้องดูแลตนเองและออกไปสร้างชื่อก่อน เมื่อข้ากับหลิงเอ๋อร์ออกพเนจรที่โลกภายนอก หากเกิดเรื่องใดจะได้ไปขอพึ่งพาเจ้า”

‘ไป่หยุนเฟย’ หันไปมองหมู่บ้านที่เงียบสงบจากระยะไกล จากนั้นสูดหายใจแผ่วเบาก่อนจะระบายลมหายใจอย่างเชื่องช้า แล้วจึงกล่าวอย่างยิ้มแย้มแก่ทั้งคู่ว่า

“เช่นนั้น…ข้าขออำลา!”

จบคำก็หันหลังก้าวเดินออกไปโดยปราศจากความลังเล

มองเห็นเงาร่างไป่หยุนเฟยค่อยๆลับตาไป หลิงเอ๋อร์จึงหันหน้าถามหลี่เฉิงเฟิงอย่างลังเล

“พี่ ‘เสี่ยวเฟิง’  พี่ ‘หยุนเฟย’ เผชิญปัญหาใด? เขาจะไปยังที่ใด? ไฉนไม่รั้งอยู่ให้พวกเราได้ช่วยเหลือ?”

‘หลี่เฉิงเฟิง’ ก็มองดูเงาร่าง ‘ไป่หยุนเฟย’ ด้วยสีหน้าซับซ้อน หลังจากเงียบงันอยู่เนิ่นนาน จึงทอดถอนใจแผ่วเบาแล้วถอนสายตาหันมาลูบผมยาวสลวยของ ‘หลิงเอ๋อร์’ อย่างทนุถนอม

“ ‘หยุนเฟย’ ตัดสินใจแล้ว มันย่อมไม่เปลี่ยนใจเพราะผู้อื่น อีกอย่าง… สถานที่คับแคบเช่นมณฑลฉิงหยุนนี้ย่อมไม่อาจเหนี่ยวรั้งมันไว้ได้ ยามนี้แม้เผชิญปัญหาเล็กน้อยแต่เชื่อว่ามันจะข้ามผ่านไปได้อย่างปลอดภัย!”

“โลกภายนอกนั้นกว้างใหญ่และท้องนภาไร้ขอบเขต สุดท้ายมันจะโบยบินเช่นเมฆขาวที่ล่องลอยบนฟ้ากว้าง!”            … … … …

สำนักช่างประดิษฐ์ตั้งอยู่ที่มณฑลผิงชวนทางภาคเหนือของแผ่นดินวิญญาณสวรรค์ ระหว่างมณฑลฉิงหยุนและมณฑลผิงชวนถูกคั่นด้วยมณฑลเป่ยเหยียน จึงนับว่าห่างไกลกันอย่างยิ่ง

หลังออกจากหมู่บ้าน ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็มุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ เพื่อหลบเลียงบริวารตระกูลจางที่ตามล่าไปทุกหนแห่งจึงเลือกเดินทางผ่านภูเขา อาศัยการเดินเท้าขึ้นเขาลงห้วยหวังว่าจะสามารถออกจากมณฑลฉิงหยุนอย่างราบรื่นโดยไม่ถูกพบเห็น

กระนั้น ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็ทราบว่านี่แทบเป็นไปไม่ได้ เมื่อเดินทางเพียงลำพังมันจำต้องออกไปหาบ้านเรือนผู้คนเพื่อสอบถามเส้นทาง อย่าว่าแต่มันยังต้องเพิ่มเติมเสบียงกรังในแหวนช่องมิติอีก

อนิจจา… นับเป็นเรื่องยุ่งยากนักที่สัมผัสด้านทิศทางของมันย่ำแย่อย่างยิ่ง…

ผ่านไปเช่นนี้ไปสามวัน  ‘ไป่หยุนเฟย’ ที่ฝึกฝนท่าเท้าเหยียบคลื่นมาตลอดทางก็เดินทางมาได้ไกลโข

หลังข้ามเขาที่ปกคลุมด้วยป่าทึบ ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็ปีนขึ้นต้นไม้สูงมองไปรอบข้าง ทันใดดวงตามันก็เป็นประกายรีบกระโดลงมาด้วยสีหน้ายินดีพลางเร่งรุดลงไปที่ตีนเขา

“ในที่สุดข้าก็เสาะหาสถานที่ที่มีผู้คนพบ ดูจากขนาดแล้วสมควรเป็นเมืองเล็กๆ พักผ่อนที่นั้นให้สบายสักคืนรับประทานอาหารเลิศรสสักมื้อ ทั้งยังมีผู้คนให้สอบถามทิศทางได้อีก!”

กระนั้นยามที่วิ่งไปได้ไม่ไกล มันก็พลันชะลอฝีเท้าลงอย่างกะทันหันด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ

“ข้ายังไม่ทราบว่าบริวารตระกูลจางอยู่ในเมืองหรือไม่ แต่ทว่าที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากเมืองลั่วซีอย่างยิ่ง อีกอย่างนี่เป็นที่อันห่างไกล พวกมันไม่สมควรอยู่ที่นี่ได้… ข้าจะไม่ออกไปเดินเตร่ภายนอกเพียงหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนสักคืนแล้วรีบจากไปยามเช้า เช่นนี้สมควรไม่เกิดปัญหาใด…”

หลังจาก ‘ไป่หยุนเฟย’ ตัดสินใจได้ก็ไม่รีรอ เร่งฝีเท้ามุ่งหน้าเข้าสู่เมืองเล็กๆเบื้องหน้าอีกครา            ……

ยามสนธยาภายในเมืองเหลาจิ่ง บนถนนที่พลุกพล่านของเมืองเล็กๆนี้ ชายหนุ่มที่ดูเหนื่อยล้าจากการเดินทางเดินอย่างเชื่องช้าพลางก้มศีรษะต่ำทำให้ไม่อาจเห็นหน้าชัดตา มันมองไปรอบข้างราวอยากรู้อยากเห็นแต่ที่จริงกลับมีท่าทีตื่นตัวยิ่ง

หลังจากซื้อหาสิ่งของจำเป็นจากร้านค้าหลายร้าน  ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมแห่งเดียวในเมือง

ภายในห้องโถงอันกว้างขวางของโรงเตี๊ยมอาคันตุกะสำราญ มีลูกค้านั่งดื่มกินอยู่ไม่กี่โต๊ะ ทันทีที่ผู้รับใช้ด้านหน้ามองเห็นผู้มาใหม่ก็รีบรุดมาต้อนรับพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างกล่าวว่า

“ยินดีต้อนรับนายท่าน! ไม่ทราบว่าจะรับประทานอาหารหรือพักแรม?”

‘ไป่หยุนเฟย’ กวาดตามองจากนั้นก้มศีรษะต่ำเดินไปยังโต๊ะที่มุมห้องพลางกล่าวกับผู้รับใช้

“ทั้งสองอย่าง! จัดอาหารที่ดีที่สุดในโรงเตี๊ยมเจ้ามาและเตรียมห้องให้ข้า ข้าจะพักที่นี่หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ”

ขณะที่กล่าวจบ ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็เดินถึงมุมห้อง จึงทรุดนั่งบนม้านั่งและไม่กล่าวอันใดอีกพลางแสดงท่าทีกีดกันผู้คน

ผู้รับใช้มองดู ‘ไป่หยุนเฟย’ อย่างสับสนหลายคราราวกับไม่เคยพบเห็นแขกที่แปลกประหลาดเช่นนี้                 ‘ไป่หยุนเฟย’ จึงขมวดคิ้วกล่าวอย่างไม่พอใจ

“ไฉนเจ้ายังไม่ไป?!”

“อา ทราบแล้ว! ทราบแล้ว! นายท่านรอสักครู่อาหารของท่านจะมาโดยเร็ว!”

ผู้รับใช้กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับถึงยามนี้จึงรู้สึกตัว

‘ไป่หยุนเฟย’ ลูบท้องที่เริ่มส่งเสียงประท้วงพลางครุ่นคิด

“ในที่สุดข้าก็ได้รับประทานอาหารชั้นดี…”

“เอ่อ นายท่าน…”

เสียงร้องเรียกดังมาจากตรงหน้า ‘ไป่หยุนเฟย’ ประหลาดใจชั่วขณะ จึงเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นผู้รับใช้นั้นเดินกลับมา

“มีอันใด?”

“นายท่าน ไม่ทราบว่าท่านต้องการสุราหรือไม่?”

ผู้รับใช้โค้งศีรษะด้วยท่าทีประจบพลางฉีกยิ้มมอง ‘ไป่หยุนเฟย’

“สุรานารีแดงของโรงเตี๊ยมของเรารสชาติกลมกล่อมราคาย่อมเยา ต้องเป็นที่พึงพอใจแก่นายท่านแน่นอน!”

‘ไป่หยุนเฟย’ กลับไม่ทันนึกถึง คราแรกและคราเดียวที่มันเมามายคือครั้งที่ไปคารวะหลุมศพผู้เฒ่า ‘อู๋’  เป็นช่วงเวลาที่พลังวิญญาณมันตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์กลายเป็นผู้ฝึกปรือวิญญาณเต็มตัว

“อะไรก็ช่างเอามาป้านหนึ่ง แต่เร่งเอาอาหารมาให้ข้าก่อน”

‘ไป่หยุนเฟย’ ไม่แยแสเพียงกล่าวเรียบเฉย

“ทราบแล้ว! นายท่านรอสักครู่ อาหารท่านจะมาในบัดดล!”

หลังจากกลับไปยังคอกเสมียนผู้รับใช้นั้นก็กระซิบบางอย่างกับเถ้าแก่ ราวกับแจ้งรายการอาหารเครื่องดื่มที่แขกสั่งมาให้แก่เจ้านายมัน

กระนั้นไป่หยุนเฟยที่ก้มหน้าเพราะไม่ต้องการถูกผู้อื่นสังเกตพบ กลับไม่ได้สังเกตว่าหลังจากเถ้าแก่รับฟังคำพูดผู้รับใช้แล้วกลับสีหน้าแปรเปลี่ยนไป มันจ้องมอง ‘ไป่หยุนเฟย’ ด้วยท่าทีไม่ผิดสังเกตจากนั้นหยิบภาพเหมือนจากใต้โต๊ะออกมาลอบเปรียบเทียบกับ ‘ไป่หยุนเฟย’

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments