ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปโรงเตี๊ยมแห่งนี้นับว่าบริการฉับไว ‘ไป่หยุนเฟย’ เพียงรอไม่นานอาหารหลากหลายก็ทยอยวางบนโต๊ะจานแล้วจานเล่า
‘ไป่หยุนเฟย’ ถือชามข้าวในมือเริ่มรับประทานอย่างเร่งร้อนจนแทบจะเรียกได้ว่าสวาปาม
ยามที่เพลิดเพลินกับการดื่มกิน ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็มองเห็นผู้รับใช้เข้ามาพร้อมป้านสุรา หลังจากวางไว้ที่เบื้องหน้า ‘ไป่หยุนเฟย’ ผู้รับใช้จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงประจบประแจง
“นายท่าน สุราของท่าน”
‘ไป่หยุนเฟย’ หยิบเนื้อใส่ปากตามด้วยข้าวคำโตอีกสองคำค่อยกล่าวเสียงอู้อี้
“อืม วางไว้เถอะ…”
กล่าวจบก็เริ่มกวาดล้างอาหารบนโต๊ะต่อไปโดยไม่แยแสผู้รับใช้อีก
ผู้รับใช้แทนที่จะจากไปกลับรินสุราใส่จอกแก่ ‘ไป่หยุนเฟย’ อย่างพิถีพิถันและกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“นายท่าน ท่าทางดื่มกินของท่านช่าง…ห้าวหาญ ท่านย่อมต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ผู้น้อยยกย่องวีรบุรุษที่ดื่มกินเช่นท่านที่สุด นายท่านโปรดให้โอกาสผู้น้อยได้คารวะสุราท่านสักจอก!”
“ดื่มกินเช่นไร? ข้าหาใช่จอมโจรเขาเหลียงซานไม่”
เมื่อได้ยินคำกล่าวน่าหัวร่อเช่นนี้ ‘ไป่หยุนเฟย’ จึงกล่าวโพล่งโดยไม่รู้ตัว
“ท่านว่าอะไร? เหลียงซาน?”
ผู้รับใช้ถามอย่างงุนงง
“เอ่อ… อย่าได้ถามซอกแซก! รีบไปและอย่าได้สนใจเรื่องของผู้อื่น! วางสุราไว้ก็พอ หากข้าจะดื่มก็ดื่มเอง อย่าได้รบกวนยามข้าดื่มกิน!”
‘ไป่หยุนเฟย’ นิ่งค้างชั่วขณะก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงขุนข้องรำคาญ กระนั้นในใจกลับครุ่นคิดอย่างงุนงง
“เหลียงซาน? มันคือสิ่งใด? ไฉนข้าจึงโพล่งคำนี้ออกมา? นี่ต้องเป็นความทรงจำที่แปลกแยกในจิตใจข้าปรากฏขึ้นอีกแน่…”
ผู้รับใช้นั้นท่าทีนิ่งงันไปชั่วครู่ดวงตามันฉายแววผิดหวังวูบก่อนจะกลับคืนเป็นปกติโดยฉับพลันก่อนจะกล่าวว่า
“เช่นนั้นเชิญนายท่านตามสะดวก”
และล่าถอยไป
หลังจากรับประทานข้าวติดกันสามชามใหญ่ ‘ไป่หยุนเฟย’ จึงเริ่มดื่มกินช้าลง และหลังจากรับประทานข้าวลงไปอีกสองชามจึงเริ่มรู้สึกอิ่ม ยามนี้มันรู้สึกอิ่มอยู่แปดส่วน ความอยากอาหารของผู้ฝึกปรือวิญญาณนับว่าไม่ธรรมดา หลังจากที่เข้มแข็งขึ้น ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็พบว่าตนเองกลายเป็นรับประทานอาหารมากขึ้น คาดว่าเป็นเพราะร่างกายต้องใช้พลังงานที่มากขึ้น กระนั้นหากจำเป็นมันดื่มเพียงน้ำเพียงเล็กน้อยก็สามารถอดอาหารได้สองสามวันโดยไม่มีผลกระทบอันใด
เมื่อรับประทานใกล้อิ่มหนำ ‘ไป่หยุนเฟย’ จึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีสุราวางอยู่ด้านข้างอีก
ยามยกจอกที่เติมสุราเต็มเปี่ยม ‘ไป่หยุนเฟย’ ลองสูดดมก็ได้กลิ่นฉุนเฉียวเล็กน้อยตามด้วยกลิ่นหอมหวานอบอวลในจมูก หลังจากลังเลชั่วครู่สุดท้ายจึงยกจอกขึ้นแตะริมฝีปากด้วยความอยากรู้
เถ้าแก่และผู้รับใช้นั้นเฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหว ‘ไป่หยุนเฟย’ จากหลังคอกเสมียน ก่อนนี้ยามที่เห็น ‘ไป่หยุนเฟย’ รับประทานอาหารโดยไม่แตะต้องสุรา พวกมันได้แต่ลอบกังวลใจ
“บัดซบ หรือคนผู้นี้ไม่ชอบดื่มสุรา? หากทราบแต่แรกจะได้วางยาในอาหาร!”
เถ้าแก่มอง ‘ไป่หยุนเฟย’ ราวกับจงใจราวกับไม่เจตนาพลางกล่าวกับตนเองเสียงค่อย
“ยาชนิดนี้จำต้องผสมกับเครื่องดื่มจึงจะออกฤทธิ์เร็วที่สุด รอดูไปก่อนเถอะเถ้าแก่ มันสั่งสุราแล้วย่อมต้องดื่ม”
ผู้รับใช้นั้นกล่าวเสียงค่อยจากนั้นลอบมอง ‘ไป่หยุนเฟย’ อย่างเงียบงันและกล่าวอย่างตื่นเต้นยินดี
“เถ้าแก่ ท่านดู มันจะดื่มแล้ว!”
เห็น ‘ไป่หยุนเฟย’ ในที่สุดก็ยกจอกสุราขึ้น ทั้งคู่จึงลอบถอนใจโล่งอกแต่ก็อดไม่ได้ต้องตื่นเต้นตึงเครียดอีกครา
‘ไป่หยุนเฟย’ เอียงจอกจิบสุราอึกหนึ่ง ฉับพลันก็รู้สึกราวเปลวไฟลามจากลำคอลงกระเพาะ ปรากฏเป็นความรู้สึกแผดเผาลุกโชนในทรวงอกเป็นเหตุให้สีหน้ามันบิดเบี้ยวปั้นยาก ‘ไป่หยุนเฟย’ วางจอกลงและรีบยกน้ำแกงขึ้นซดหลายคำ กระทั่งรู้สึกดีขึ้นแต่ใบหน้ากลับกลายเป็นแดงก่ำ…
เถ้าแก่และผู้รับใช้กลับกลายเป็นเซื่องซึมในบัดดล — คนผู้นี้จะคออ่อนเกินไปแล้ว!!
‘ไป่หยุนเฟย’ เหม่อมองจอกสุราบนโต๊ะขณะสั่นศีรษะพึมพำ
“โธ่ วันนั้นจิตใจข้าว้าวุ่นเกินไปจึงไม่อาจจดจำได้ว่าสุรารสชาติอย่างไร? ช่างย่ำแย่นัก ไฉนผู้คนยังคงชอบดื่มอีก?”
จากนั้น ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็ไม่แตะต้องสุราและเริ่มรับประทานอาหารบนโต๊ะต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ มันเจตนาจะเติมอีกสองส่วนที่เหลือในกระเพาะให้เต็มก่อนจะเข้านอน
“โอ?? ไฉนข้ารู้สึกไม่ถูกต้องอยู่บ้าง?”
หลังจากรับประทานต่ออีกชั่วครู่ ‘ไป่หยุนเฟย’ พลันรู้สึกว่ามีความผิดปกติได้อย่างเลือนราง
“ข้ากลับวิงเวียนศีรษะ… เกิดอะไรขึ้น? หรือข้าเหน็ดเหนื่อยเกินไป?”
‘ไป่หยุนเฟย’ สั่นศีรษะอย่างมึนงงและตัดสินใจเข้าห้องไปพักผ่อน ทว่าทันทีที่มันเงยหน้าขึ้นหัวใจมันก็ตกวูบลง — ผู้คนทั้งหมดที่รับประทานอาหารอยู่หลายโต๊ะในห้องโถงมิคาดว่าจะสาบสูญไปหมดสิ้น ยามนี้นอกจากเถ้าแก่และผู้รับใช้ ในโถงทั้งห้องกลับหลงเหลือมันอยู่เพียงผู้เดียว!!
“ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง… เกิดเรื่องแล้ว!”
‘ไป่หยุนเฟย’ ตบศีรษะที่วิงเวียนแผ่วเบา
“เดินทีข้ายังปกติดีอยู่ จากนั้น…สุรานั้น! แต่ข้าเพียงดื่มลงไปเล็กน้อย ไฉนจึงวิงเวียนเช่นนี้? จริงสิ ผู้รับใช้นั้น… ออกจะพิกลอยู่บ้าง ราวกับมันเกรงข้าจะไม่ดื่มสุรา”
“อีกอย่างสถานการณ์รอบข้างเช่นนี้ ไฉนข้าจึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างเลือนราง?”
“ผิดท่า ข้าหลงกลแล้ว!”
‘ไป่หยุนเฟย’ ลอบตื่นตระหนกในใจ แต่ขณะแยกแยะสถานการณ์ปัจจุบันไม่ทันกระจ่าง เสียงร้องตะโกนก็ดังมาจากหลังคอกเสมียน
“มันรู้ตัวแล้ว! รีบออกมา! รีบออกมาคร่ากุมมัน!”
ทันทีที่สิ้นเสียงตะโกนของเถ้าแก่ ผู้คนกลุ่มใหญ่พร้อมอาวุธในมือฮือออกมาจากห้องครัวด้านหลังและจากด้านนอกประตู เข้ามารุมล้อม ‘ไป่หยุนเฟย’ ไว้
หลังจากยืนยันความเป็นมา ‘ไป่หยุนเฟย’ ได้ เถ้าแก่ก็รีบรายงานให้คนเหล่านี้ทราบทันที พวกมันจึงเร่งรุดมาอย่างลอบเร้น เดิมทีพวกมันตั้งใจจะรอจน ‘ไป่หยุนเฟย’ ดื่มสุราจนหมดสิ้นจนกระทั่งฤทธิ์ยาแสดงผลจึงจะเข้ามาคร่ากุม มิคาด ‘ไป่หยุนเฟย’ กลับไม่ดื่มสุรา เพียงจิบอึกหนึ่งแล้วไม่แตะต้องอีก เมื่อยาปริมาณเล็กน้อยออกฤทธิ์ขึ้น ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็พบเห็นความผิดปกติ เถ้าแก่จึงไม่มีทางเลือกได้แต่เรียกทุกคนออกมา
‘ไป่หยุนเฟย’ เพียงตื่นตระหนกในยามแรก แต่เมื่อผู้คนทั้งหลายออกมาก็คลายใจลง มันลอบชักนำพลังวิญญาณขับไล่ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะออกไป ขณะเดียวกันก็กวาดตามองสถานการณ์รอบด้านอย่างรวดเร็ว
สามสิบกว่าคนที่รุมล้อมมันทั้งหมดดูเข้มแข็งทรงพลัง อย่างน้อยก็นับว่าเป็นยอดฝีมือในหมู่คนธรรมดา หัวหน้ากลุ่มเป็นบุรุษอายุราวสามสิบเศษดวงตาเล็กแคบ จะเป็นผู้ใดหากไม่ใช่จ้าวผิงหนึ่งในบริวารมือดีของจางเจิ้นซานผู้บรรลุด่านปัจเจกวิญญาณระดับกลาง มันมองดู ‘ไป่หยุนเฟย’ ด้วยดวงตาแฝงเล่ห์เหลี่ยม จากนั้นจึงตะโกนกึกก้อง
“มันดื่มสุราผสมตัวยาลงไปแล้ว อย่าปล่อยให้มันมีโอกาสฟื้นตัว! คร่ากุมมันในบัดดล!”
กระนั้นยามที่มันร้องตะโกน ‘ไป่หยุนเฟย’ กลับแค่นเสียงอย่างเย็นชาและพุ่งเข้าใส่จ้าวผิงก่อนที่ผู้อื่นจะทันได้เคลื่อนไหว!
‘ไป่หยุนเฟย’ กลับรวดเร็วยิ่งนัก ยามที่จ้าวผิงกล่าวจบคำศัตรูก็พุ่งมาถึงเบื้องหน้า สีหน้ามันแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง จ้าวผิงล่าถอยอย่างเร่งร้อนพลางชักกระบี่สั้นยาวสองฟุตออกมา จากนั้นจ้วงแทงใส่ ‘ไป่หยุนเฟย’ โดยไม่รีรอ
‘ไป่หยุนเฟย’ วาดมือขวาขึ้น ขณะยกมือขวาขึ้นพร้อมกับมีดสั้นในมือก็ปัดป้องกระบี่สั้นที่แทงเข้ามาบังเกิดเสียงติงดังสดใส
ขณะจะออกกระบวนท่าตามหลัง ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็พลันพบว่าด้านข้างมีบางอย่างผิดปกติ ปรากฏดาบเล่มใหญ่ฟันเข้าใส่มือขวาที่เหยียดออกของมัน แสดงว่าผู้อื่นรอบข้างรู้สึกตัวจึงเริ่มจู่โจมใส่
‘ไป่หยุนเฟย’ ไม่มีทางเลือกได้แต่หยุดกระบวนท่าและดึงมือขวากลับเพื่อหลบเลี่ยงคมดาบ มันไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนเหล่านี้จะลงมือประสานกันได้เหมาะเจาะเช่นนี้ ขณะเดียวกับที่ดาบใหญ่ฟันใส่มัน กระบี่สั้นของจ้าวผิงก็แทงเข้ามาอีกครา ‘ไป่หยุนเฟย’ ไม่มีทางอื่นได้แต่ล่าถอยสองก้าวอย่างเร่งร้อนเพื่อหลบเลี่ยงกระบี่นี้
แต่เมื่อถอยไปด้านหลัง ก็กลายเป็นล่าถอยสู่กลางวงล้อมอีกครา!
ที่มา: