I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) ตอนที่ 43 การหลบหนีและความกังวล

| Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) | 937 | 2362 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะทำให้ ‘ไป่หยุนเฟย’ เคลื่อนไหวเชื่องช้าไปบ้าง ยามที่ไม่ทันระวังกลับถูกบังคับให้กลับเข้าสู่วงล้อม

หัวหน้ากลุ่มของคนเหล่านี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่คือจ้าวผิง และบุรุษผิวคล้ำที่มีปฏิกิริยาก่อนผู้อื่นฟันดาบใส่ ‘ไป่หยุนเฟย’ คือรองหัวหน้านามว่าเว่ยซวีเป็นผู้บรรลุด่านนวกะวิญญาณระดับปลาย

หลังจากบังคับ ‘ไป่หยุนเฟย’ ล่าถอยก็ไม่เปิดโอกาสให้โคจรพลังวิญญาณเพื่อฟื้นฟูสภาพ จ้าวผิงตะโกนเสียงกึกก้องอีกครา

“คร่ากุมมัน!”

จากนั้นจึงนำผู้คนเข้าปะทะกับไป่หยุนเฟย

ด้วยสภาพในปัจจุบันที่ไม่เหมาะจะใช้ทวนเปลวอัคคีอีกทั้งในใจมันยังตื่นตระหนกอยู่บ้าง ทว่าศัตรูแม้จะมีจำนวนมากมายยิ่ง แต่มันก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามกลับไม่มีผู้ฝึกปรือวิญญาณที่เข้มแข็งกว่ามันแม้แต่ผู้เดียว

‘ไป่หยุนเฟย’ ใช้เท้าเกี่ยวม้านั่งที่ด้านข้างขึ้นแล้วขว้างไปยังกลุ่มคนที่รุมล้อมเข้ามาทางด้านซ้าย จากนั้นฉวยโอกาสที่ศัตรูหลบเลี่ยงรีบพุ่งกายอย่างว่องไวพลางถีบเท้าออก

เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เป็นนักสู้มากประสบการณ์ พวกมันร้ายกาจกว่าเหล่าโจรที่ถูก ‘ไป่หยุนเฟย’ เข่นฆ่ามากมายหลายเท่านัก เมื่อทราบว่าฝ่ายตนเสียเปรียบหากปล่อยให้ ‘ไป่หยุนเฟย’ เข้าประชิดตัวก็รีบขยายวงล้อมออกไปหลายก้าว จากนั้นผู้ใช้อาวุธยาวก็ถืออาวุธดาหน้าออกมาขวางทาง ‘ไป่หยุนเฟย’ ไว้

ร่าง ‘ไป่หยุนเฟย’ ชะงักไปชั่วครู่ เดิมทีมันหมายจะกระโดดข้ามวงล้อมออกไปแต่กลับปรากฏการจู่โจมเข้ามาจากด้านหลัง จึงไม่มีทางเลือกได้แต่หันกายกลับไปปัดป้อง

หลังจากยกมีดสั้นขึ้นปะทะกระบี่สั้นของจ้าวผิง  ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็เบี่ยงกายไปด้านข้างหลบเลี่ยงคมดาบของ ‘เว่ยซวี’ และถีบเท้าบีบมันล่าถอยไป ขณะเดียวกันก็ถอนมือมาคว้าจับทวนยาวที่ทิ่มแทงเข้ามา มือขวา ‘ไป่หยุนเฟย’ ปรากฏเส้นเลือดดำปูดขึ้นจากนั้นกวาดทวนขนานพื้นอย่างหักโหมบังคับศัตรูทั้งหลายที่พุ่งเข้ามาล่าถอยไป

‘ไป่หยุนเฟย’ สั่นศีรษะโดยแรง ดวงตามันเปี่ยมแววอำมหิต หากว่ามันไม่ถูกวางยาศัตรูย่อมไม่อาจบีบให้มันลงมือสุดกำลังและมันย่อมไม่ปล่อยให้สัตรูรุมล้อมเช่นนี้!

เมื่อถูกบังคับล่าถอยจ้าวผิงกลับไม่หยุดยั้งลง แต่กระชับกระบี่สั้นพุ่งกายเข้ามาอีกครา ยามที่กระบี่สั้นจะเชือดถูกคอหอย ร่าง ‘ไป่หยุนเฟย’ พลันบิดพลิกไปอีกด้านอย่างพิสดาร ขณะที่ร่างมันจะสัมผัสพื้นก็ดีดกลับขึ้นมาราวตุ๊กตาล้มลุกจากนั้นสืบเท้าออก ขาทั้งสองข้างของ ‘ไป่หยุนเฟย’ กลับกลายเป็นพร่าเลือน มิคาดว่าเพียงหันกายไปก็ประชิดร่างจ้าวผิงได้แล้ว

จะเป็นสิ่งใดหากไม่ใช่ท่าเท้าเหยียบคลื่น!

‘ไป่หยุนเฟย’ ยกมีดสั้นขึ้นพุ่งแทงเข้าที่ระหว่างคิ้วศัตรู! ‘จ้าวผิง’ ตื่นตระหนกยิ่งรีบยกกระบี่ขึ้นปิดป้อง ทว่าพลันรู้สึกเจ็บปวดที่ท้องน้อยอย่างกะทันหันจากนั้นก็ปลิวละลิ่วออกไปด้วยเท้าของไป่หยุนเฟย!

เพียง ‘ไป่หยุนเฟย’ คิดจะไล่ตามไปจู่โจมก็ปรากฏดาบใหญ่ฟันขวางเข้าใส่ มันแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา ฉับพลันร่าง ‘ไป่หยุนเฟย’ หงายไปด้านหลังและกลายเป็นเงาพร่าเลือนหลบเลี่ยงคมอาวุธที่ระดมจู่โจมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงพุ่งกายออกจากวงล้อมของศัตรูตรงเข้าหาเบื้องหน้าเว่ยซวีพร้อมกับต่อยหมัดออกโดยไม่รีรอแม้แต่น้อย!

หลังจากตวัดดาบออกเว่ยซวีกลับเห็นเพียงเงาพร่าพรายในคลองจักษุ ชั่วพริบตาศัตรูก็ปรากฏตรงหน้าพร้อมกับหมัดที่จู่โจมถึงตัว! มันบังเกิดความแตกตื่นอย่างใหญ่หลวงรีบยกดาบขึ้นปิดป้องทรวงอกหวังจะใช้คมดาบปะทะกำปั้นศัตรู

ดวงตา ‘ไป่หยุนเฟย’ ทอประกายอำมหิต พร้อมกับแขนขวาที่เส้นเลือดดำเบ่งพองขึ้นซัดกำปั้นออกไปพร้อมเสียงหวืดหวือกระแทกถูกคมดาบ เสียงแตกร้าวดังแผ่วเบายามที่ดาบใหญ่ถูกกระแทกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่ ‘เว่ยซวี’ จะทันยินดีที่ป้องกันหมัดนี้ไว้ได้ก็ถูกกำปั้นกระแทกปลิวขึ้นไปกลางอากาศร่วมสองเมตรราวกับถูกกระแทกด้วยน้ำหนักหลายพันกิโลกรัมก่อนจะร่วงลงกับพื้นนอกวงต่อสู้ด้านหลัง หลังจากกระอักเลือดคำโตกลางอากาศแล้วร่วงกระแทกพื้นเว่ยซวีก็แน่นิ่งไป ต่อให้ยังมีลมหายใจแต่ก็ไม่อาจต่อสู้ได้อีก

นี่เป็นวิชาระลอกคลื่นขั้นแรก พลังหมัดสามทบ!

‘ไป่หยุนเฟย’ ไม่มีความคิดจะต่อสู้ จึงอาศัยช่องว่างที่ทุกคนชะงักค้างด้วยความตื่นตระหนกจากหมัดเมื่อครู่เร่งฝีเท้ากลายเป็นเงาร่างพร่าเลือนพุ่งไปยังประตูโรงเตี๊ยม

ทว่าก่อนที่จะถึงประตูโรงเตี๊ยมก็ถูกขัดขวางอีกคราด้วยกระบี่จู่โจมเข้ามา — จะเป็นผู้ใดหากไม่ใช่จ้าวผิงที่ถูกถีบกระเด็นไปก่อนหน้า

เมื่อเผชิญกับกระบี่ที่ขวางหน้า ร่าง ‘ไป่หยุนเฟย’ ที่วิ่งตะบึงพลันหยุดยั้งลงได้อย่างพิสดาร ภายใต้แววตาเหลือเชื่อของศัตรู มันเอนกายไปด้านหลังจากนั้นใช้เท้าเป็นจุดศูนย์เหวี่ยงหมุนครึ่งวงกลมราวลูกแก้วกลิ้งตามขอบอ่าง ยามที่ ‘ไป่หยุนเฟย’ ยืดกายขึ้นร่างมันก็ไปปรากฏอยู่อีกด้านแล้ว!

ดวงตา ‘ไป่หยุนเฟย’ ทอประกายเย็นเยียบ มันสะบัดมีดสั้นในมือแทงใส่ขั้วหัวใจศัตรูสุดแรง!

นับว่าสายเกินกว่าที่ ‘จ้าวผิง’ จะวกกระบี่กลับมาป้องกันได้ ยามหมดหนทางได้แต่กัดฟันเคลื่อนกายไปด้านข้างหนึ่งนิ้วอย่างหักโหม ก่อนจะส่งเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดยามถูกมีดสั้นแทงถูกไหล่ซ้ายมัน

ดวงตา ‘ไป่หยุนเฟย’ ทอประกายผิดหวังวูบ เมื่อกวาดตามองก็พบเห็นเหล่านักสู้ที่รู้สึกตัวพุ่งเข้ามาอีก ก็พลันยกขาซ้ายถีบใส่หน้าท้องจ้าวผิง

เสียงหนักทึบดังขึ้นพร้อมกับมีดสั้นถูกดึงออกมาส่งเลือดฉีดพุ่งเป็นเส้นสาย แล้วร่าง ‘จ้าวผิง’ ก็พุ่งกระเด็นเข้าหาผู้คนที่รุมล้อมเข้ามาราวกระสุนปืนใหญ่ คนกลุ่มใหญ่จึงแตกฮือไปคนละทิศคนละทาง

หลังจากถีบส่งจ้าวผิงออกไป  ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็หันหลังทะยานกายออกจากประตูจากไปโดยไม่รีรอ

ทันทีที่ย่ำเท้าลงพื้นด้านนอก เงาสีดำพลันพุ่งออกจากมุมมืดข้างประตูตรงเข้าใส่ ‘ไป่หยุนเฟย’ โดยปราศจากวี่แววล่วงหน้า!

‘ไป่หยุนเฟย’ แตกตื่นยิ่งรีบยกมีดสั้นขึ้นป้องอกขณะเดียวกันก็สลับเปลี่ยนท่าเท้าเคลื่อนกายออกด้านข้าง

เงาดำขนาดเล็กและ ‘ไป่หยุนเฟย’ เฉียดผ่านกันไปราวกับสิ่งนั้นไม่ได้ต้องการจู่โจมแต่แรก แต่ยามที่เฉียดผ่านกัน ‘ไป่หยุนเฟย’ พลันรู้สึกเย็นที่หลังมือซึ่งยกขึ้นเบื้องหน้าราวกับถูกของเหลวกระทบถูก

เมื่อออกจากโรงเตี๊ยมได้  ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็ชำเลืองมองกลับหลัง เห็นเงานั้นลงสู่พื้น — มิคาดว่าจะเป็นสัตว์ขนาดเล็กดูเหมือนกระรอกสีเทา

ผู้คนในโรงเตี๊ยมได้แต่มองดูอย่างอับจนปัญญาเมื่อเห็น ‘ไป่หยุนเฟย’ พุ่งกายไม่กี่คราก็หายลับไป พวกมันหันกลับไปมองหัวหน้าและรองหัวหน้าที่รับบาดเจ็บทั้งคู่ จากนั้นหันมามองกันอย่างท้อแท้ไม่ทราบจะทำอย่างไรต่อไป

‘จ้าวผิง’ นั่งกับพื้นกัดฟันหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ เท้านี้ของ ‘ไป่หยุนเฟย’ ถีบได้หนักหน่วงยิ่ง หากมันเป็นคนธรรมดาคงสลบไปแล้ว

“มันจากไปแล้ว พวกเจ้ายังยืนที่นั่นทำอะไร?! ยังไม่รีบไปดูรองหัวหน้าอีก!”

ผ่านไปครู่ใหญ่ ‘จ้าวผิง’ จึงสูดหายใจลึกก่อนจะด่าว่าด้วยเสียงอันดัง

เห็นเหล่าสมุนฮือเข้าไปตรวจดู ‘เว่ยซวี’ ราวผึ้งแตกรัง ‘จ้าวผิง’ ได้แต่สั่นศีรษะท้อแท้ จากนั้นโคจรพลังวิญญาณอย่างเงียบงันเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บบนร่าง ขณะเดียวกันก็ลอบถอนใจกับตนเอง

“อนิจจา… ข้ากลับคำนวณผิดพลาด ตามข้อมูลที่ได้รับมา ระบุอย่างชัดเจนว่าขณะลงมือสังหารนายน้อย คนผู้นี้บรรลุเพียงด่านปัจเจกวิญญาณระดับปลาย แต่ทว่ายามนี้ดูเหมือนมันทะลวงผ่านถึงด่านวีรชนวิญญาณแล้ว การทะลวงด่านได้ในเวลากระชั้นเช่นนี้อาจเป็นเพราะมันฝึกปรือถึงขีดสุดของด่านปัจเจกวิญญาณก่อนจะลงมือกับนายน้อย…”

“คนผู้นี้รับมือได้ยากยิ่ง ตลอดการต่อสู้ข้าแทงกระบี่ออกได้เพียงไม่กี่ครา มันกลับไม่เปิดโอกาสให้ข้าเข้าพัวพันต่อสู้ด้วย อีกอย่างกระบวนท่าที่ใช้ทำร้ายเว่ยซวีนั้นสมควรเป็นเคล็ดวิญญาณ! มิหนำซ้ำท่าร่างราวภูตพรายนั้นก็เป็นเคล็ดวิญญาณเช่นกัน! เห็นได้ชัดว่าฝีมือมันสูงส่งยิ่งแต่กลับหลีกเลี่ยงการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา แม้ช่วงท้ายจะได้เปรียบอย่างใหญ่หลวงมันกลับหลบหนีไปอย่างไม่ลังเล… คนผู้นี้กลับมีจิตใจผิดธรรมดาอย่างยิ่ง”

“จากการตรวจสอบของพวกเรา สองเดือนก่อนมันเป็นเพียงคนธรรมดา มันพานพบวาสนาเช่นใดกันแน่?”

“ยามนี้ยากจะไล่ล่ามันได้แล้ว หลังจากหลงกลและถูกกลุ้มรุมพวกเรายังปล่อยให้มันหลุดรอดไปได้ ยังดีที่‘มุสิกเทาตามรอย’ทิ้ง‘ร่องรอย’ไว้บนตัวมันแล้ว ต่อไปย่อมไม่อาจหลบหนีได้อีก! พวกเราเพียงรอนายท่านมาถึงจากนั้นใช้มุสิกเทาตามรอยสืบเสาะหาว่ามันไปที่ใด…”

“น้ำลายของมุสิกเทาตามรอยคงประสิทธิภาพเพียงสามวัน แต่เมื่อส่งพิราบสื่อสารออกไปแล้ว ด้วยฝีเท้าของนายท่านสมควรมาถึงภายในพรุ่งนี้ยามสนธยา คนผู้นั้นย่อมไม่ทราบเรื่องและหลังจากเร่งรุดหลบหนีตลอดวันคาดว่ามันจะผ่อนคลายความตื่นตัวลง นายท่านก็จะมีเวลาเพียงพอที่จะไล่ตามมัน!”

“ไม่เลว… ดูเหมือนครานี้พวกเรายังไม่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง”             … … … …

หลังจากหลบหนีออกมา ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็ไม่กล้าหยุดยั้งลง มันเพียงคะเนเส้นทางเล็กน้อยก็เร่งฝีเท้าหลบหนีไปตลอดทาง มันวิ่งตะบึงอยู่เกือบสี่ชั่วโมงในที่สุดก็หยุดเท้าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเล็กๆสายหนึ่ง

การใช้ท่าเท้าเหยียบคลื่นไม่หยุดยั้งอย่างยาวนานแทบทำให้พลังวิญญาณของ ‘ไป่หยุนเฟย’ เหือดแห้งหมดสิ้น มันจึงไม่มีทางเลือกได้แต่หยุดพักชั่วครู่ก่อนจะคิดอ่านแผนการอื่นออก

ที่จริงหาก ‘ไป่หยุนเฟย’ คิดสังหาร คนในโรงเตี๊ยมย่อมไม่มีผู้ใดเอาชีวิตรอดได้ แต่เพราะมันไม่ทราบว่าศัตรูมีกำลังหนุนหรือไม่ หากรั้งอยู่นานยิ่งเพิ่มอันตรายขึ้นอีก อีกอย่างการเข่นฆ่าพวกมันกลับไม่มีประโยชน์อันใดดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้น ‘ไป่หยุนเฟย’ จึงมุ่งหลบหนีเพียงอย่างเดียว

ความรู้สึกหน้ามืดวิงเวียนศีรษะก็หมดสิ้นไปแล้ว  ‘ไป่หยุนเฟย’ นั่งบนหินก้อนใหญ่ฟื้นฟูพลังวิญญาณที่สูญสิ้นอย่างเงียบงัน

“ข้ายังด้อยประสบการณ์ต่อโลกภายนอกเกินไป ผู้ใดจะคาดคิดว่าข้าจะตกหลุมพรางศัตรูง่ายดายเช่นนี้? โชคดีนักที่ข้าไม่ดื่มสุรา ไม่เช่นนั้น…”

เมื่อหวนทบทวนเหตุการณ์ที่ถูกวางยา ‘ไป่หยุนเฟย’ ยังคงอดไม่ได้ต้องคำนึงอย่างหวาดหวั่น

“บัดซบ ตระกูลจางมีอำนาจอิทธิพลขนาดไหนกันแน่? ไฉนพวกมันจึงมีบริวารมากมายในเมืองเล็กๆเช่นนี้? หรือทุกเมืองก็ล้วนเป็นเช่นนี้? เป็นไปไม่ได้ นี่ต้องใช้ผู้ฝึกปรือวิญญาณมากมายเกินไป ต่อให้ตระกูลจางมีอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใดก็ไม่อาจส่งคนมากมายเช่นนี้ไปทุกเมือง นี่หมายความว่า… ข้าเคราะห์ร้ายเกินไปหรือ?”

ถึงตรงนี้ ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็อดไม่ได้ต้องสั่นศีรษะเย้ยหยันตนเองด้วยความรู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง

ที่จริงแล้ว ‘ไป่หยุนเฟย’ นับว่าเคราะห์ร้ายเกินไปจริงๆที่มาถึงเมืองเหลาจิ่งแทนที่จะเป็นเมืองอื่น นั่นเพราะ     ‘จ้าวผิง’ และพวกกำลังออกค้นหาบริเวณใกล้เคียงอยู่พอดี หลังจากได้รับข้อความลับจากเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็เร่งรุดมามาทันที…

“ยามนี้ร่องรอยข้าถูกเปิดเผยแล้ว เชื่อว่าจางเจิ้นซานต้องเร่งรุดมาโดยเร็ว แย่แล้ว ข้าไม่อาจหยุดยั้งได้ ต้องรีบหนีให้ไกลขึ้นอีก”

“อีกอย่าง สัตว์ตัวเล็กที่ปรากฏในตอนท้ายนั้นนับว่าแปลกประลาด ของเหลวที่ถูกหลังมือข้าดูเหมือนจะเป็นน้ำลายของมัน ไฉนมันทำเช่นนั้น?”

‘ไป่หยุนเฟย’ ยกมือขวาขึ้นระดับสายตาจากนั้นสำรวจอย่างละเอียดภายใต้แสงจันทร์แต่ก็ไม่พบความผิดปกติ

แต่เมื่อนำมืออังใต้จมูกแล้วสูดดม มันก็ขมวดคิ้ว

“มีกลิ่นอย่างเบาบาง หรือจะเป็น… กลิ่นตามรอย!”

ยามนี้ใบหน้า ‘ไป่หยุนเฟย’ กลับกลายเป็นบิดเบี้ยวปั้นยาก มันยืนขึ้นและเดินไปยังริมแม่น้ำพลางยื่นมือจุ่มน้ำแล้วขัดถูไม่หยุด จากนั้นล้วงผงซักฟอกออกมาขัดถูมืออีกครา หลังจากล้างมืออยู่สิบกว่านาทีจนกระทั่งหลังมือกลายเป็นแดงก่ำจึงหยุดยั้ง

มันสูดดมมือขวาอีกคราก็ไม่ได้กลิ่นผิดปกติอีก ยามนี้ ‘ไป่หยุนเฟย’ จึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย กระนั้นก็ยังมีร่องรอยความกังวลค้างอยู่ในจิตใจ

“ดูเหมือนข้าจำต้องวางแผนให้ดีจึงจะหลบหนีได้พ้น!”

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments