ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปแปลโดย คุณ Parita Chee
***********************
“โครม”
กระบี่ประกายวสันต์ฟันเข้าที่คอของอสูรวิญญาณเพลิง ทำให้เจ้าอสูรคำรามก้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อเลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลขนาดใหญ่
ในที่สุด พลังชีวิตเฮือกสุดท้ายของมันก็หมดลง ส่งผลให้ร่างใหญ่ยักษ์ของมันล้มฟาดลงกับพื้นเสียงดังสนั่น ในเวลาเดียวกัน มันก็ดรอปไอเท็มออกมาเล็กน้อย ผมมองดูไอเท็มที่ดรอปทั้งหมดด้วยความรู้สึกผิดหวัง เพราะไม่เห็นจารึกสร้างกิลด์เลยสักอัน
เส้นทางสร้างให้’ซ่านหลง’เป็นกิลด์ยังคงคดเคี้ยวยาวไกล ……
“อย่าขยับ”
‘ตงเฉิงเล่ย’ ตวัดขวานรบของเขาไปมาขณะที่รีบเดินตามหลังผมมา คำรามขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ให้เฮียเซี่ยวเหยาเลือกไอเท็มที่บอสดรอปก่อน ส่วนคนอื่นๆ ให้รอรอบของตัวเอง ถ้าพวกนายไม่อดกลั้นไว้ อย่าหาว่า ฉัน ‘ซ่างเล่ย’ ไม่เตือน”
ผู้เล่นทั้งเจ็ดคนสะดุ้งแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ผมก้าวไปข้างหน้า และเขี่ยอุปกรณ์ทั้งหมดไปตรงพื้นที่ว่าง จากนั้นผมผายมือไปหาคนพวกนั้น
“เจนเติลทัช เข้ามาเลือกไอเท็มของนาย ถือเป็นค่าชดเชย”
‘เจนเติลทัช’ พยักหน้า ชี้นิ้วไปที่เกราะหุ้มอกแบบชิ้นเดียว แล้วพูดขึ้น
“งั้นผมของเกราะหุ้มอกชิ้นนี้”
ผมยื่นเท้าออกไปเขี่ยไอเท็มดังกล่าว ผมไม่ใส่ใจแม้จะดูคุณสมบัติของมัน
“ปึ้ก”
เกราะหุ้มอกชิ้นนั้นกลิ้งไปที่เท้าของ ‘เจลเติ้ลทัช’ เมื่อเขาหยิบเกราะนั้นขึ้น ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นเมื่อได้เห็นคุณสมบัติ พวก’เจนเติลทัช’เริ่มกระซิบกระซาบรอบๆ ตัวเขา
“แม่งงงง ระดับม่วง เลเวล 53 แถมยังเพิ่ม strength +37 เพิ่ม endurance อีก 34 และพลังป้องกันอีก 5% ช่าง เป็นไอเท็มที่สุดยอดมาก…”
ผมยิ้มให้ตัวเองและยังคงเงียบอยู่
‘เจนเติลทัช’ เก็บเกราะอกใส่ช่องเก็บของพร้อมกับหัวเราะน้อย ๆ
“เซี่ยวเหยาจื่อไจ๋ นายเป็นคนที่เชื่อถือได้คนหนึ่ง ขอบคุณมาก ถ้าไม่ใช่เพราะนาย ผมคงไม่มีหน้าไปพบเพื่อนของผม แต่ว่า นายคุ้นเคยกับกิลด์ [Valiant Bravery] ใช่เปล่า”
ผมพยักหน้า
“ใช่ มีอะไรเหรอ”
“คือ..”
‘เจนเติลทัช’ เริ่มเรื่องโดยชี้นิ้วไปที่เพื่อนๆ หกคนข้างหลัง
“เพื่อนๆ ทั้งหกคนกับผมกำลังมองหากิลด์เข้าร่วมด้วย แต่กิลด์ [Vanguard] กำหนดเสปคไว้มากเกินไป ประกอบกับเจียนเฟิ่งหาน มีชื่อเสียงที่เป็นปัญหา ส่วนกิลด์ [Prague] ของเหยียนจ้าว มีชื่อเสียงมานานว่าทื่อเหมือนไม้กระดาน เขาเป็นพวกหัวเก่าคร่ำครึ เราอยากเข้าร่วมกับกิลด์ใหม่ๆ ที่ดุดัน พวกเราเลยเลือกอยากเข้ากิลด์ [Valiant Bravery] แต่ว่า พวกเรายังไม่ใครแนะนำให้เรา ดังนั้นผมก็เลยอดกังวลไม่ได้ว่า แม่ทัพหลี่มู่อาจไม่ต้องการกลุ่มพวกเรา ไม่รู้ว่านายจะพอแนะนำให้พวกเราสักหน่อยจะได้ไหม”
“ได้สิ พวกนายไปบอกเขาเลยว่าผมส่งพวกนายไป”
ผมปรายตามองอุปกรณ์และระดับของพวกเขาพร้อมรอยยิ้ม
“นายแกร่งใช้ได้ แม่ทัพหลี่มู่น่าจะยินดีต้อนรับนายเข้าร่วมกิลด์ [Valiant Bravery] แล้วในตอนนี้พวกเขาต้องการผู้เล่นเลเวลสูงๆ ด่วนเอาการ”
“โอว ขอบคุณมาก ถ้าอย่างนั้น พวกเราขอตัวนะ”
“เชิญ ขอให้โชคดี”
“ขอบคุณ”
‘วูลฟ์’ที่มองดูกลุ่มของ’เจนเติลทัช’เดินไกลออกไปเรื่อยๆ ถูปลายจมูกพร้อมกับพูดว่า
“เฮียเซี่ยวเหยา นั่นมันเกราะอกระดับม่วง เลเวล 53 ที่ไอ้บ้าพวกนั้นมันเอาไป ผมไม่ชอบผลลัพธ์อย่างนี้เลย มันควรเป็นของโอลด์เค หรืออาเล่ย หรือไม่ก็มัทฉะที่น่าจะได้ใช้ประโยชน์มันมากกว่า…”
ผมหัวเราะดังลั่น
“พอแค่นี้เถอะ อย่ามาจู้จี้เรื่องเล็กๆน้อยๆ เลย ซ่านหลงเพิ่งจะเริ่มต้นในเมืองป้าฮวง พวกเราต้องสร้างชื่อเสียงให้ถูกทาง นอกจากนี้ พวกนั่นเป็นพวกที่เล่นงานบอสเป็นกลุ่มแรก แล้วพวกเขายังไม่ได้ยอมแพ้ถอดใจเลยนี่ โดยเทคนิคก็ถือว่าเป็นพวกเราไปแย่งบอสของพวกนั้นมา อย่าไปทำให้เป็นปัญหาเลย”
TL: ให้ข้อมูลเพิ่มเติม จุดเกิดในผืนป่าแห่งนี้ค่อนข้างไกล หวังว่าเพื่อนๆ คงจำได้ ดังนั้นกว่าพวกนี้จะเดินทางกลับมาถึงต้องใช้เวลา ไม่ใช่ว่าพวกเขารอ เซี่ยวเหยาเล่นงานบอสจนพลังเหลือน้อย แล้วค่อยมาอ้างสิทธิทีหลัง
‘มัทฉะ’หัวเราะ
“ใช่แล้ว ฉันสนับสนุนบอส แค่ไอเท็มระดับม่วงชิ้นเดียวแลกกับความเชื่อใจของกลุ่มนั่น คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม”
‘เป็ดที่รัก’พูดออกมา
“บอสเชี่ยวเหยา เรามาดูอุปกรณ์ที่เหลือดีกว่าไหม”
“ดูสิ”
บอสตัวนี้ดรอปอุปกรณ์ออกมาอีก 3 ชิ้น สองชิ้นเป็นอุปกรณ์ระดับทอง และหนึ่งชิ้นเป็นอุปกรณ์ระดับม่วง ซึ่งก็คือสร้อยคอ เลเวล 53 ที่ได้ไปโดยนักเวทย์เลเวลสูงที่สุดทอดลูกเต๋าชนะ และอุปกรณ์ระดับทองได้ไปโดยมือลอบสังหาร [Assassin]คนหนึ่ง และมือกระบี่ [Swordman] อีกคน ที่ทอดเต๋าชนะ ส่วนไอเท็มอีก 4 ชิ้น เป็นการ์ดอภัยโทษ 2 ใบ และหินวิญญาณ 2 ก้อนที่ถูกทอดเต๋าแบ่งกันไป
ในใจลึกๆของผมยังรู้สึกผิดหวังนิดๆ ที่ไม่เจอจารึกสร้างกิลด์ ซึ่งเป็นเรื่องน่าละอายเพราะมันเป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในตอนนี้
มองดูจำนวนบอสที่เหลือ จนถึงตอนนี้เราได้ฆ่าบอสไป 2 ตัวใน 83 ตัว โชคของเรายังดีอยู่ในวันนี้ ‘มัทฉะ’มองท้องฟ้า ย่นคิ้วในขณะที่ครุ่นคิดหนักหน่วง
“บอสคะ ตามข่าวล่าสุดในฟอรั่ม มีรายงานทางสถิติว่าบอส 37 ตัวถูกฆ่าไปแล้ว และในจำนวนนั้น เป็นบอสระดับม่วง 6 ตัว เราเพิ่งฆ่าไปหนึ่งตัว กิลด์ [Vanguard] ฆ่าไปได้ 2 ตัว [Prague] ฆ่าได้หนึ่ง [Valiant Bravery] ฆ่าได้หนึ่ง และ [Flying Dragon] ก็ฆ่าได้หนึ่งตัว ตอนนี้กิลด์หลักๆ ได้ให้ผู้เล่นในกิลด์ตามรอยบอสทั่วทั้งแผนที่ เป็นที่คาดกันว่าบอสทั้ง 83 ตัวจะถูกฆ่าตายภายในอีก 2 ชั่วโมงนี่แหละ..”
“อืออ…”
ผมพยักหน้ารับ แล้วพูดขึ้นหลังจากใคร่ครวญไปครู่ใหญ่
“ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับดวง ไม่มีอะไรที่เราจะทำได้ สมาชิกเพียงเรามีเท่านี้ คงไม่คิดหรอกนะว่าคนแค่ 20 คนจะฆ่าบอสได้มากที่สุด”
“ใช่ ใช่”
หลังจากค้นหาไปได้ครึ่งชั่วโมง ยังคงไม่มีสัญญานบอกถึงบอสใดๆ สักตัว อย่างไรก็ตาม ในฟอรั่มของเมืองป้าฮวง ยังมีข่าวน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับบอสที่ถูกสังหารพอๆ กับข่าวของไอเท็มที่ดรอป ถึงตอนนี้ บอสระดับม่วง 9 ตัวถูกสังหารไปแล้ว อีเว้นท์ Demons’ Descent มีอัตราการดรอปไอเท็มที่เยี่ยมจริงๆ
ผลประโยชน์ช่างยั่วใจอย่างใหญ่หลวง ขณะผมอยู่ว่างไม่ได้ทำอะไร ก็ได้ยินเสียง
“ติ๊ง” เป็นข้อความส่งมาจากแม่ทัพ’หลี่มู่’
“เซี่ยวเหยา ตอนนี้นายอยู่ไหน”
“หุบเขาฉีหลิน ถามทำไมเหรอ”
แม่ทัพ’หลี่มู่’เปิดระบบแชทด้วยเสียง น้ำเสียงเขาฟังดูร้อนรน
“มีคนพบบอสระดับจักรพรรดิ 3 ตัวของเมืองป้าฮวง เจียนเฟิ่งหานได้นำผู้เล่น 3000 คนไปที่หุบเขาภูผาเพลิง (Fire Stone Valley) กำจัดไปได้หนึ่งตัว ส่วนกิลด์ [Prague] ก็นำผู้เล่น 4000 คนออกเดินทางไปที่ชายฝั่งตะวันออก (East Coast) ที่มีข่าวว่ามีบอสเต่ามังกรระดับจักรพรรดิ ส่วนบอสระดับจักรพรรดิตัวที่ 3 อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหุบเขาฉีหลิน ในป่าโหยหวน (Wailing Forest) กิลด์ [Valiant Bravery] จะนำผู้เล่น 1500 คนและเราก็ใกล้จะถึงแล้ว ปัญหาอย่างเดียวคือมีกิลด์ Flying Dragon คู่อริตัวเป้งที่กำลังเดินทางไปเหมือนกัน ซึ่งคาดว่าน่าจะมีผู้เล่นประมาณ 3000 คน หมายความว่ามีผู้เล่นมากกว่าพวกเราเท่าตัว พวกเราเลยกังวลว่าเราจะไม่สามารถจัดการบอสได้ ดังนั้น….”
ผมเม้มปากใช้ความคิด
“พวกนายเลยอยากให้ผมนำพวกไปช่วยเหรอ”
“ไม่หรอก พวกเราต้องการนายเท่านั้น”
“ไม่ตกลง คนของผมก็เก่งเหมือนกัน”
น้ำเสียง’หลี่มู่’ฟังดูสดใสขึ้น
“อ่า อย่างนั้นยิ่งดีใหญ่ รีบมาหาพวกเราด่วนเลย มาพบพวกเราจากเส้นทางที่ผ่านหุบเขาฉีหลินนะ อ้อมเส้นทางของกิลด์ [Flying Dragon] พวกนายมีกี่คน”
“20 คน”
“เอ๋ 20 คน”
“ใช่”
ผมกำหมัดแน่น
“วิญญาณนักสู้ของพวกเราเหลือเฟือ พวกเราเป็นกลุ่มคน 20 คน ที่มีเกียรติและรักสงบ ในบางสถานการณ์ พวกเราสามารถตั้งรับยันคนได้เป็นพัน พวกนายต้องระวังอย่าประเมินคน 20 คนนี้ต่ำเกินไป…”
แม่ทัพ’หลี่มู่’อดหัวเราะไม่ได้
“ดีๆ งั้น ไม่พูดอะไรมากแล้ว เซี่ยวเหยา ในครั้งนี้ นายจะเจอการต่อสู้ที่หนักหนาสาหัสจริงๆ บอสระดับจักรพรรดิจะต้องถูกพวกเราจัดการให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ไม่อย่างนั้น กิลด์ [Flying Dragon] จะล้ำหน้าพวกเราไปมากเลย”
“ถูกต้อง ผมเข้าใจแล้ว เราต้องเร่งมือเพิ่มขึ้น”
“ใช่แล้ว ขอบใจนายล่วงหน้านะ”
“ไม่ต้องห่วง นายเป็นพวกเราอยู่แล้ว”
“ดี”
…. หลังจากปิดช่องแชทแล้ว ผมหันไปหากลุ่ม
“พวกเรามีเรื่องต้องไปจัดการ”
“เอ๊ะ มีเรื่องอะไรหรือ บอสเซี่ยวเหยา”
‘วูลฟ์’ถามขึ้น ผมพูดออกมาเสียงดัง
“มีบอสระดับจักรพรรดิตัวหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพวกเราในป่าโหยหวน มีกิลด์สองกิลด์ที่กำลังแข่งกันจัดการบอสตัวนี้อยู่ กิลด์หนึ่งคือ [Flying Dragon] และอีกกิลด์หนึ่งคือ [Valiant Bravery] อย่างไรก็ตาม กิลด์ [Flying Dragon] มีผู้เล่นมากกว่า 3000 คน ในขณะที่กิลด์ [Valiant Bravery] มีเพียง 1500 คน ดังนั้น พวกเราต้องไปช่วยเพื่อนของเรา กิลด์[Valiant Bravery] ต่อต้านการโจมตีของกิลด์ [Flying Dragon] เราต้องไปช่วยเพื่อนของพวกเราและจัดการบอสสำคัญระดับจักพรรดิ”
หลังจากกล่าวคำพูดปลุกใจ ผมยิ้ม
“ทุกคน มีใครจะไปกับผมบ้าง”
“ใครจะไม่ไปล่ะ”
‘ตงเฉิงเล่ย’หัวเราะ
“เฮียเซี่ยวเหยาไปที่ไหน ผมไปที่นั่นด้วย”
‘วูล์ฟ’พยักหน้า
“ผมด้วย”
‘มัทฉะ’กับ’เป็ดที่รัก’ส่งเสียงออกมาพร้อมกัน
“ฉันด้วยค่ะ”
ทั้ง 20 คนตกลงเห็นด้วยว่าเราจะร่วมรุกร่วมถอยด้วยกันทั้งหมด และจะไปช่วย [Valiant Bravery] …..
เปาะ แปะ เปาะ แปะ ละอองฝนที่บางเบาคล้ายหมอกเปลี่ยนเป็นสายฝนโหมกระหน่ำลงพื้นดินในชั่วพริบตา
ผมถือกระบี่ประกายวสันต์ และเร่งรุดฝ่าไปท่ามกลางหุบเขา ขณะที่’มัทฉะ’ตามหลังมา ‘วูล์ฟ’วิ่งราวไวราวกับแชมป์พร้อมมีดสั้นอันใหม่ สายฝนหนาหนักเทกระหน่ำลงมาบนยอดไม้ ก่อให้เกิดเสียงซู่ซ่าที่กลบเสียงต่อสู้ไปหมด
ภายในไม่กี่นาที เราก็มารถึงชายป่าโหยหวน แล้วเราก็พุ่งมุดเข้าไป
อีกไม่กี่นาที แผนที่ป่าผืนนี้ข้างหน้าเราก็เริ่มแสดงให้เห็นจุดสีฟ้าเล็กๆ ของผู้เล่นจำนวนมาก บนแขนของผู้เล่นแต่ละคนมีสัญลักษณ์เป็นประกายวูบวาบของกิลด์ [Valiant Bravery]
“เซี่ยวเหยาจื่อไจ๋มาถึงแล้ว”
แม่ทัพ’ป่ายฉี’หัวเราะหึๆ เมื่อผมเดินเข้าไปหา แม่ทัพ’หลี่มู่’เดินออกมาหา ทักทายผมในขณะที่ถือกระบี่ของตัวเอง เขม้นมองกองกำลังที่อยู่ข้างหลังผม เขาอดมองดูด้วยความประหลาดใจไม่ได้
“พระเจ้า การที่นายมีพรรคพวกอย่างนี้ได้ในไม่กี่วันมานี้ ร้ายกาจมาก นั่นซ่างเล่ย ที่เป็นน้องชายของซ่างเย่ว ใช่ไหม โห มือลอบสังหารเผ่าอันเดท เลเวล 54 นักรบคลั่งเผ่าบาร์แบเรียน เลเวล 53 มือปืนเลเวล 52 และ ฮีลเลอร์ เลเวล 52 เซี่ยวเหยา ครั้งนี้นายทำได้เยี่ยมจริงๆ ที่มีกองกำลังในการต่อสู้ที่เข้มแข็งขนาดนี้ในช่วงเวลาสำคัญ”
“ขอบใจ”
ผมหัวเราะ
“ไม่มีอะไรหรอก คนพวกนี้เป็นเพื่อนและพี่น้องของผมทั้งหมด”
“ฮา ฮา เยี่ยม”
“บอสนั่นอยู่ไหนล่ะ”
ผมถาม แม่ทัพ ‘หลี่มู่’หมุนตัวพาพวกเราไปทางด้านหน้าป่าอีกหลายสิบก้าว แล้วโบกมือให้พวกเรามองลงไปที่แอ่งลึกด้านล่าง
“รูปร่างลักษณะของมันค่อนข้างจะลวงตาสักหน่อย ดูตรงที่ใจกลางของแอ่งตรงนั้น .. ซึ่งคือต้นไม้ใหญ่ตรงนั้น…”
ผมรู้สึกแปลกใจ ที่ใจกลางของแอ่งมีต้นไม้ใหญ่มหึมาตั้งอยู่จริงๆ กิ่งก้านของมันถักทอเข้าด้วยกันอย่างซับซ้อน แผ่กระจายออกไปเป็นต้นไม้รอบๆ ราวกับป่าผืนหนึ่ง นั่นนะหรือบอส แม่ทัพหวังเจี้ยนกำอาวุธในมือแน่น พูดขึ้นว่า
“ไม่ต้องสนใจพิจารณามันหรอก เซี่ยวเหยา นั่นเป็นบอสระดับจักรพรรดิที่เรียกว่า องครักษ์พิทักษ์เขตแดน [Guardian of the Earth] ความสามารถในการป้องกัน และพลังชีวิตของมันสูงมาก มันมีวิธีการโจมตีหลากหลายรูปแบบ เช่น ลำต้นกับกิ่งของมันมีความสามารถในการยิงหนามสนใส่พวกเรา แถมยังเป็นการโจมตีแบบวงกว้างเสียด้วย ครั้งแรกที่เราพยายามเข้าใกล้เพื่อเล่นงานมัน คนของเรามากกว่า 50 คนโดนเล่นงานจนแพ้ราบคาบเลย”
ผมกัดฟัน
“ต่อให้มันเป็นการโจมตีแบบวงกว้าง มันไม่ควรจะรุนแรงพอที่จะทำอันตรายได้มากขนาดนั้นหรอก ช่างเถอะ บอสตัวนี้เป็นเพียงบอสระดับจักรพรรดิเลเวล 60 ใช่ไหม”
‘หวังเจี้ยน’พยักหน้า
“ใช่ นายพูดถูก บอสตัวนี้สร้างความเสียหายได้ประมาณ 1800 จากการโจมตีแบบวงกว้าง ดังนั้นใครที่มีพลังป้องกันสูงกว่า 1500 ส่วนใหญ่ก็รอดมาได้ แต่ว่า รัศมีของการโจมตีแบบวงกว้างครอบคลุมพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ พวกฮีลเลอร์จึงไม่รอด เพราะผู้เล่นสวมเกราะหนักของพวกเรามีค่าป้องกันเฉลี่ยที่ 1200 – 1400 พวกนี้ก็เลยไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้นานถ้าไม่มีฮีลเลอร์ พวกนักเวทย์ก็ถูกฆ่าเมื่อ [mana shield] ถูกทำลาย เลยทำให้พวกเราคิดว่าไม่สามารถเล่นงานบอสตัวนี้ได้”
แม่ทัพ’หลี่มู่’สูดหายใจแล้วชี้นิ้วตรงไปที่บริเวณตรงข้ามกับแอ่งลึก
“การคุกคามที่สำคัญที่สุดอยู่ตรงนั้น มีสมาชิกของกิลด์ [Flying Dragon] อย่างน้อย 2000 คนเฝ้าเราอยู่ตรงนั้น เมื่อไรที่เราเริ่มเล่นงานบอส พวกเขาจะต้องบุกโจมตีเราแน่ๆ เมื่อถึงตอนนั้น เราก็คงเหนื่อยล้าจนเกินกว่าจะต้านพวกนั้นไหว ในสถานการณ์อย่างนี้ นายจะทำอย่างไร”
ผมมองไปที่กองกำลังนั่น เหงื่อผุดขึ้นที่เหนือคิ้ว
“ถ้าจำนวนของพวกเราเหนือกว่าพวกนั้น เราก็จะสามารถแยกออกเป็น 2 กลุ่มได้ กลุ่มหนึ่งแบ่งคุ้มกัน ขณะที่อีกกลุ่มพยายามสังหารบอสให้ได้ภายใน 20 นาที อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เราไม่ใช่อย่างนั้น เนื่องจากจำนวนของพวกเราน้อยกว่าพวกนั้น จึงมีวิธีเดียว…”
“วิธีอะไร”
‘หวังเจี้ยน’ถามขึ้น ผมสาธยายแผนออกมา
“แบ่งกำลัง 1 ใน 3 ส่วนให้พวกเขาทำทีเหมือนว่าจะเล่นงานบอส ส่วนอีกสองส่วนเราจะลอบเข้าไปโจมตี ที่เหลือคุยกันหลังจากจัดการกิลด์ [Flying Dragon] ไม่อย่างนั้นเรื่องที่เราพูดคุยกันก็ไม่มีความหมาย” แม่ทัพหลี่มู่กำหมัดชกเข้าหากัน แล้วหัวเราะ “นายกับฉันคิดแบบเดียวกัน การสู้กับกิลด์อย่าง [Flying Dragon] เราต้องล้างด้วยเลือด”
ที่มา: