ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปแปลโดยคุณ WildFox
///////////////////
เที่ยงตรงบริเวณประตูทิศเหนือของเมืองอันเงียบสงบมันเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ใบเมเปิ้ลร่วงหลุดจากต้นลงมาพริ้วไหวกับสายลมอ่อนเย็นๆก่อนจะตกลงไปในลำธารใสสายเล็กๆนั่น เสียง
“ตุ้บ”
ตามมาด้วยการที่พาร่างตัวเองไปนั่งบนราวสะพานสีขาวหยก ดาบประกายวสันต์เรืองรองด้วยแสงม่วงอ่อนๆ ขณะที่ชั้นนั่งรออย่างเงียบเชียบไม่กี่นาทีต่อจากนั้น ผู้คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งก็เดินอย่างช้าๆตรงเข้ามาหา พวกเขาล้วนมีสัญลักษณ์บนไหล่เหมือนกันหมดที่ดูเหมือนหนังสือศัญญาสีแดงที่ม้วนผนึกไว้อย่างดี
นักดาบคนหนี่งผู้ซึ่งผมยาวเล็กน้อยสวมผ้าคลุมแดงสะบัดอยู่ข้างหลังเดินนำหน้ามา
ที่มุมปากก็แต้มด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร
‘หานเป่ยซ่ง’ เลเวล 57 นักดาบเงินเมืองหลัก : เมืองปาฮวงกิลด์ : Crimson Contractตำแหน่ง : หัวหน้ากิลด์…………….
เช่นเดียวกับชั้นที่ไหล่ของ’หานเป่ยซ่ง’ก็มีสัญลักษณ์ที่มีประกายสีทองบ่งบอกให้รู่ว่าเป็นหัวหน้ากิลด์ เขายื่นมือมาพร้อมด้วยรอยยิ้มทักทายว่า
“สวัสดี หลี่เซียวเหยา ชั้น หานเป่ยซ่ง หัวหน้ากิลด์ของ [Crimson Contract] !”
ชั้นยื่นมือไปสัมผัสพร้อมทักทายเช่นกันว่า
“ เอาล่ะ นับแต่นี้เป็นต้นไปพวกเราจะเป็นพันธมิตรแรกแห่งเมืองปาฮวง เมื่อใดก็ตามที่พวกเราคนใดคนหนึ่งตกที่นั่งลำบากอีกฝ่ายจะต้องช่วยเหลือทันที”
“ นั่นเป็นสิ่งที่สมควร”
ชั้นเปิดเมนูจัดการกิลด์ขึ้นมาพร้อมกดเลือกที่แถบพันธมิตร แสงสว่างตอบรับจาก ‘หานเป่ยซ่ง’ บอกให้รู้ว่าการเป้นพันธมิตรกันสำเร็จแล้ว พลันชื่อของผู้แล่นกิลด์[Crimson Contract]ที่อยู่ตรงหน้าชั้นก็เปลี่ยนไปให้ทราบว่าเป็นผู้เล่นที่เป็นมิตรและอยู่ฝ่ายเดียวกัน แบบนี้เมื่อเวลาเราต่อสู้สกิลโจมตีหมู่(AOE)ของฝ่ายเราจะได้ไม่โจมตีโดนกันเอง
นักรบคลั่งคนหนึ่งเลวล 56 ‘ปี่อวี๋เค่อ’ ผู้ที่ยืนด้านหลัง ‘หานเป่ยซ่ง’หัวเราะและพูดว่า
“ ชั้นไม่เคยคิดเลยว่าแค่เพียงพวกเรา[Crimson Contract]ตั้งกิลด์ได้ไม่เท่าไหร่ก็จะได้สหายรบผู้ที่เจนศึกจากเมืองเดียวกันอย่ากิลด์[Zhan Long]!”
ผู้เล่นอีกคนมองเขาด้วยสายตาเคืองๆแล้วแย้งว่า
“รองหัวหน้าครับ กิลด์ [Zhan Long] ก็ก่อตั้งก่อนพวกเราเพียงไม่กี่วันเองนะครับ คงไม่เจนศึกไปกว่าพวกเราเท่าไหร่นัก อย่าดูแคลนตัวเองขนาดนั้นเลย….”
‘ปี่อวี๋เค่อ’กล่าวตอบว่า
“นายยังไม่รู้อะไร เสี่ยวซื่อ(Xiao Si) จริงอยู่แม้ว่าพวกเราจะตั้งกิลด์ได้เกือบจะในเวลาเดียวกันกับของกิลด์[Zhan Long] แต่ว่าพวกเค้านั้นแตกต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง เพราะตั้งแต่เริ่มเกมส์มา เซียวเหยาจื้อไจ้ ก็มีเรื่องกับกิลด์[Vanguard][Flying Dragon]และ[Wrath of the Heroes]ขาใหญ่พวกนั้นมาโดยตลอดและเขาก็ยังสู้อยู่จนถึงตอนนี้ และด้วยการรวมตัวของผู้เล่นหลักสี่คนจากตระกูลแม่ทัพ ฝาแฝดสุดสวยทั้งเยว่ชิงเฉียนกับเยว่เหว่ยเหลียง แล้วก็ผู้เล่นหลักเดิมของเค้าอย่าง หรันหมิ่น ซ่งหานและคนอื่นๆอีก กิลด์[Zhan Long]ก็แข็งแกร่งยิ่งนัก แข็งแกร่งขนาดที่ว่าสู้กับกิลด์[Crimson Contract]ของเราได้อย่างไม่มีปัญหาเลย”
ชั้นหัวเราะพูดว่า
“มันก็ไม่ต่างกันขนาดนั้น จริงๆแล้วคือชั้นรู้สึกถูกใจ [Crimson Contract] และหวังว่าพวกนายจะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อกลายเป็นกิลด์ที่ทรงพลังในภายหน้าเพื่อที่จะทำให้พันธมิตรของพวกเรานั้นแข็งแกร่งเช่นกัน กิลด์ของเราทั้งสองนั้นกำลังจะล้ำหน้าใครๆในเมืองปาฮวงและกิลด์[Flying Dragon] ก็อยากจะกำจัดพวกเรามากที่สุด ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นจะต้องเติบโตให้ไวกว่านี้ ภายในครึ่งเดือน [Zhan Long] จะเคี่ยวกรำอย่างหนักเพื่อเป็นกิลด์เลเวล 4ที่มีสมาชิก 3000 คนให้ได้ พวกนายก็ควรพยายามด้วยเช่นกัน”
‘หานเป่ยซ่ง’พยักหน้าเห็นด้วย
“[Crimson Contract] จะไม่ทำให้พันธมิตรของเราผิดหวัง พวกเราจะพยายามอดทนอดกลั้นไม่เผชิญหน้าตรงๆกับพวก[Flying Dragon]จนกว่าพวกเราจะได้เป็นกิลด์เลเวล 3 เสียก่อน!”
“อืม นั่นเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น!เอาล่ะ ชั้นมีเควสที่จะต้องไปทำต่อ พวกนายก็ไปทำสิ่งที่พวกนายกำลังจะไปทำ ต่อเถอะนะ”
“ตกลง!”
ชั้นเดินกลับเมืองปาฮวงพร้อมด้วยสมาชิกจากกิลด์[Crimson Contract]ที่ยังเดินตามมาส่ง หลังจากซื้อของที่จำเป็นเพิ่มเติมแล้ว ก็มุ่งหน้าตรงไปยังดินแดนร้างเยือกเย็นแห่งป้อมมังกรทันที มันก็เป็นเวลาสักช่วงใหญ่ๆแล้วที่ชั้นไม่ได้ไปเยี่ยมป้อมมังกรเลย น่าจะดีถ้าหากชั้นจะลองไปเยี่ยมผู้เฝ้าสุสานคาร์ลดูว่าเค้าจะเป็นยังไงบ้าง
เพราะถ้าหลังจากชั้นเลเวล 60 และเปลี่ยนอาชีพครั้งที่ 3 แล้วโอกาสที่จะได้เจอตาเฒ่านั่นก็น่าจะน้อยลงหลังจากเดินทางมาได้ประมาณ 40 นาที ก็มาถึงดินแดนร้างเยือกเย็นของป้อมมังกรในที่สุดที่เชิงป้อมด้านล่าง เต๊นท์ของผู้ฝึกอสูรต้าหลินดูเละเทะอย่างกับว่าเค้าไม่ได้อยู่ที่นั่นมานานมากแล้ว
แม้กระทั่งธงต่างๆที่บนกำแพงป้อมมังกรก็ดูลดลงจนบางตา นี่ถ้าไม่ใช่เพราะธงรบสีแดงที่โบกสะบัดตามลมแรงอยู่นั่น ชั้นอาจจะคิดว่าที่นี่อาจจะเปลี่ยนมือผู้ปกครองไปแล้วชักดาบประกายวสันต์ออกมาพร้อมกับไต่ไปตามทางภูเขาน้ำแข็งทีละก้าวทีละก้าวจนถึงเขตป้อมมังกร
แต่ก็ไม่ได้เข้าไปภายในป้อมแต่อย่างใด เพราะอาจารย์ของชั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น ต้องไปทางเดินที่มีหิมะปกคลุมไปตามหุบเขา ที่ราบรกร้างที่เต็มไปซากระดูกมังกรสะท้อนแสงสว่างดูหดหู่นั่น ไกลออกไปมีกระท่อมหินตั้งเงียบงันอยู่ทางนั้นชั้นกระชับดาบประกายวสันต์คู่ใจเพื่อเอาไว้ก่อนพลางเดินช้าไปที่ประตู ใช้มือที่ว่างอีกข้างหนึ่งเคาะลงไป
“ตึง ตึง”
แล้วพูดว่า
“อาจารย์ ผมกลับมาแล้วมีไรให้ผมทำแก้เซ็งบ้างป้ะ?”
“ครืดดดดดด…”
เสียงประตูหินค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆพร้อมกับร่างของผู้เฝ้าสุสานปรากฏกายบนรถเข็นคันเดิม หน้าของเค้าซีดมากแทบไม่มีสีเลือด แต่ก็ยังมองเห็นบาดแผลใหม่ที่อยู่บนแก้มตอบเหลือแต่กระดูกนั้น รอยค่อนข้างลึกและน่าจะเกิดจากอาวุธที่ต้องคมเป็นอย่างมาก ด้านท้ายของรถเข็นก็ถูกฟันและมีร่องรอยดาบบนกำแพงสุสานพร้อมทั้งรอยเลือดสีดำบนเหลืออยู่พื้น
“อาจารย์ เกิดอะไรขึ้น มันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเนี่ยะ?”
ชั้นถามอย่างตกใจดวงตาของ’คาร์ล’ฉายแววขัดเคืองถอนหายใจและพูดว่า
“เมื่อสามวันก่อน กองทัพของคนแคระทมิฬบุกเข้าโจมตีดินแดนร้างเยือกเย็นของป้อมมังกรในตอนกลางคืน หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดตลอดคืนพวกคนแคระทมิฬก็ล่าถอยไปหลังจากเสียกำลังพลไปประมาณ 3000”
“พวกคนแคระทมิฬ?”
ชั้นโพล่งขึ้น
“ถูกต้องแล้ว!”
‘คาร์ล’จ้องมาที่ชั้นและพูดเสียงแผ่วว่า
“ราชาคนแคระทมิฬกำพลประมาณหนึ่งหมื่นมาเพื่อที่จะทำลายป้อมมังกรหลังจากที่เจ้าได้ไปสังหารเจ้าชายคนแคระทมิฬของมัน แต่โชคไม่เข้าข้างพวกมัน กำลังพลของป้อมมังกรแข็งแกร่งกว่าที่มันคาดไว้ และท่านโหลวหลินก็นำทัพด้วยตัวเองบุกโจมตีกลับฆ่าพวกคนแคระทมิฬโฉดเหล่านั้น ราชาสวรรค์หรันหมิ่นก็ยื่นมือเข้าช่วยพวกเราด้วยการสังหารหนึ่งในผู้นำกองทัพของพวกคนแคระทมิฬ พวกมันกว่า 3000 เสียชีวิตก่อนจะเริ่มล่าถอยไปทางตะวันออกของหุบเขาศิลาเพลิง…”
ชั้นสูดลมหายใจลึกพลางซักต่อไปว่า
“พวกเราสูญเสียไม่มากใช่ไหม อาจารย์?”
“ไม่มากงั้นเรอะ?”
‘คาร์ล’พ่นลมหายใจสะบัดเสียงตอบว่า
“ขนาดข้าและหัวหน้าหลิวชวงต้องบาดเจ็บนี่เจ้าเรียกว่าสูญเสียไม่มากงั้นเรอะ? พวกเรามีกำลังแค่เพียง 1000 นักรบจากป้อมมังกรเท่านั้นและ 178 คนนั้นต้องสละชีวิตในศึกหนนี้ ครานี้แหละเรายิ่งไปเติมไฟแค้นให้แก่ราชาคนแคระทมิฬเข้าไปอีกและเมื่อไหร่ที่พวกมันตัดสินใจบุกมาอีกครั้งมันต้องนำทัพหลักแสนมาแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึงป้อมมังกรคงไม่เหลืออะไรมากไปกว่าซากปรักหักพัง!”
“นั่นไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน!”
ชั้นกำหมัดแน่นและพูดต่อว่า
“ถ้าป้อมมังกรจะต้องสิ้นชื่อ สำนักของเราก็จะต้องจบสิ้นไปด้วยแน่นอน….”
‘คาร์ล’ตอบว่า
“ไอหนู พลังของเจ้าเพิ่มมาก็จริงอยู่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะปกป้องป้อมมังกรไว้ได้หรอกนะ เจ้าเคยรู้ไหมว่าลึกลงไปยังสุสานมังกรแห่งนี้มีความลับซ่อนอยู่ ความลับที่มีมาแต่ครั้งโบราณกาล? นี่เป็นภารกิจที่ยากยิ่งและข้ายังไม่อาจมอบให้เจ้าไปทำได้ในตอนนี้…”
ชั้นตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนถามว่า
“อาจารย์ ทำไมล่ะ?”
“เพราะว่า……”
‘คาร์ล’ถอนหายใจ
“ข้ายังไม่แน่ใจว่าเจ้าจะแข็งแกร่งพอที่จะทำมันให้ลุล่วงรึเปล่า อีกทั้ง ข้า คาร์ลผู้นี้ ผู้ที่ถูกทอดทิ้งไม่เคยรับใครเป็นศิษย์มาก่อนนอกจากเจ้า ในหมู่ผู้เยาว์ที่ข้าเคยพบเจ้าเป็นเพียงผู้เดียวที่พอจะมีหวัง แต่ข้าไม่อยากจะเห้นเจ้าต้องตาย”
ชั้นกำหมัดแน่นยิ่งไปกว่าเดิม
“อาจารย์ ต้องทำอย่างไรถึงจะพิสูจน์ได้ว่าข้าสามารถที่จะทำภารกิจโบราณนี้ได้?”
‘คาร์ล’ใคร่ครวญครู่หนึ่งและตอบในที่สุดว่า
“ถ้างั้น เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้ามีเป็นผู้ที่มีพลังมากพอ เจ้าต้องไปฆ่ามังกรสักตัวหนึ่ง…..”
ร่างชั้นสะท้านไปชั่วครู่
“ฆะ ฆ่ามังกรอ้ะนะ ?”
“ถูกต้อง….”
‘คาร์ล’บอก
“สุสานของป้อมมังกรไม่ได้เงียบสงบอีกต่อไป ระยะนี้ พวกเนโครแมนเซอที่ชั่วช้าหวังที่จะชุบชีวิตโครงกระดูกมังกรมีเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าข้าจะสามารถขับไล่พวกมันไปได้แต่กระนั้นพวกมันก็ชุบชีวิตมังกรปฐพีขึ้นมาได้ ในบรรดามังกรทั้งหลายมังกรปฐพีถือว่าอ่อนแอที่สุดแล้ว ร่างของมันใหญ่กว่าสัตว์อสูรทั่วไปเล็กน้อยและมีพลังมากกว่ามอนสเตอร์ทั่วไปนิดหน่อย เจ้าต้องสังหารมังกรปฐพีที่โดนปลุกชีพนั่น มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เจ้าจะแสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้ามีพลังพอที่จะท้ายทายภารกิจโบราณ เจ้าจะยอมรับเส้นทางสายนี้หรือไม่ ?”
ชั้นพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“แน่นอน ผมยอมรับ!”
“ดี!”
คาร์ลยิ้มแปลกๆ
“เจ้ามังกรปฐพีคืนชีพตัวนี้มันไม่น่ามองเท่าไหร่นัก มันถูกคุมขังอยู่ในป้อมมังกร จงไปตามหาหัวหน้าหลิวชวงและมอบจดหมายของข้าให้เค้า เค้าถึงจะแสดงหนทางไปสู่ที่คุมขังของเจ้ามังกร และจงจำเอาไว้ว่า เจ้าจะต้องลงมือสังหารมังกรปฐพีนั่นด้วยตัวคนเดียว มิเช่นนั้น มันจะไม่เป็นการพิสูจน์ได้ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะท้าทายปริศนาที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของป้อมมังกรได้!”
ชั้นพยักหน้ารับคำ
“ครับ เข้าใจแล้วอาจารย์ ท่านรอฟังข่าวดีจากผมได้เลย!”
เมื่อออกจากสุสานของป้อมมังกร ชั้นก็ปีนไต่ไปตามภูเขาที่หนาวเย็นและปกคลุมไปด้วยหิมะ จากยอดเขามองลงมาทุกอย่างดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง นอกจากนั้นยังมองเห็นเศษอาวุธแตกหักกระจายอยู่ไปทั่วบริเวณ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารอบๆป้อมมังกรนี้เต็มไปด้วยสมรภูมิศึกที่ต่อสู้กันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่อดีต
อาวุธที่ไม่ได้อาบด้วยเวทย์มนต์เริ่มผุพังไปตามเวลาบางทีที่นี่คงจะเป็นสนามรบมาแต่ครั้งโบราณกาลเมื่อมาถึงเชิงของป้อมมังกร ชั้นก็ตะโกนออกไปว่า
“พี่น้องด้านบน ช่วยส่งเชือกลงมาให้ผมปีนขึ้นไปทีครับ!”
NPCยามรักษาการณืคนหนึ่ง ชะโงกหน้ามามองชั้น หลังจากแน่ใจว่ามีสัญลักษณ์ของป้อมมังกรที่ไหล่ชั้นแล้วจึงหย่อนเชือกลงมา ชั้นคว้าไว้แล้วรีบพยายามปีนป่ายขึ้นมาถึงบนกำแพงของป้อม หันหน้าไปทางNPCยามนั้นและกล่าวว่า
“พี่ชาย ผมมีเรื่องจะถามนิดหน่อย ไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่ว่าหัวหน้าหลิวชวงอยู่ที่ไหน?”
ยามหยุดคิดชั่วครู่และตอบว่า
“ท่านหัวหน้าหลิวชวง ไม่ได้ประจำการวันนี้ บางทีอาจจะอยู่ที่พักก็เป็นได้?”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้น ห้องของท่านหัวหน้าหลิวชวงไปทางไหนครับ?”
“เอ่อ….”
ยามจ้องมาที่ชั้นคิดอยู่อีกครู่หนึ่งจึงบอกว่า
“อยู่ทางค่ายอาวุธของป้อม ที่ที่พักของทหารชั้นสอง ห้องของหัวหน้าจะอยู่ใกล้กับดาบผลึกมากที่สุด แต่ว่านะ ยังไงซะท่านหัวหน้าก็เป็นสตรี เพราะงั้น….ในยามปกติแล้วพวกเราจะไม่ไปรบกวนเป็นอันขาด เจ้าเพิ่งมาใหม่แต่ก็ต้องเข้าใจเรื่องนี้ด้วยนะ”ชั้นผงกศีรษะ “ผมทราบแล้ว ผมจะไม่รุ่มร่ามเด็ดขาด”
“ดี”
เขตคลังแสงของป้อมมังกรเต็มไปด้วยเสียงเหล็กจากเตาเผาที่โดนตีกระหนาบด้วยค้อนเหล็กกล้า มองเห็นควันไฟกรุ่นจากในอาคารห้องพักที่ว่าอยู่ในเขตที่พักของทหารระดับสูงรวมถึงเป็นเขตที่ประทับของราชาของป้อมมังกรด้วยเว้นเสียแต่ว่าทรงใช้ท้องพระโรงเป้นที่ประทับส่วนพระองค์เลย
หลังจากปีนป่ายก้อนหินหนาวเหน็บตะกายขึ้นมายังชั้นที่สองได้ชั้นก็มุ่งหน้าตรงไปยังทางเดินที่สะท้อนแสงแวววาวจากดาบผลึกที่ตั้งอยู่ที่สุดทางเดินนั้น ด้านบนของดาบผลึกนั้นมีผนึกแน่นหนาอยู่ท่าทางจะเป็นอาวุธทรงพลังมาแต่ครั้งโบราณเสียดายว่าโดนผนึกปิดซ่อนพลังเอาไว้ ด้านขวาของดาบผลึกมีประตูสีแดงดูค่อนข้างหรูหราอยู่หนึ่งบานชั้นตรงไปที่ประตูพร้อมกับเคาะ
“ก๊อก ก๊อก” ไปที่ประตู
“นั่นใคร?”
เสียงของ’หลิวชวง’ตอบกลับมาชั้นตอบไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ผมเองครับ ผู้เฝ้าสุสานของป้อมมังกร”
“อ้อ เจ้านั่นเอง เข้ามาสิ”
“ครับ!”
ผลักประตูเพื่อจะเข้าไปก็พบกับแผ่นหลังขาวบริสุทธิ์ ‘หลิวชวง’นั่งอยู่บนเตียงโดยหันหลังให้ประตูกำลังทำความสะอาดบาดแผลกว้างที่เกิดจากขวานบนไหล่ของเธอด้วยสำลี นี่ถ้า’หลิวชวง’ไม่มีฝีมือเกรงว่าอาจจะโดนผ่าเป็นสองซีกเพราะคมขวานไปแล้วทั้งที่ยังหันหลังให้ชั้นอยู่’หลิวชวง’ถามเสียงขำๆว่า
“เจ้าหนู มีธุระสิ่งใดกับข้าหรือ?”
ชั้นหยิบจดหมายจากคาร์ลออกมาพลางพูดว่า
“อาจารย์ของผมบอกว่า เพื่อที่จะฝึกวิชาจึงให้ผมไปฆ่าเจ้ามังกรปฐพีอันเดธที่ถูกปลุกชีพขึ้นมา ซึ่งมีเพียงท่านหลิวชวงจะนำทางไปยังมังกรตัวนั้นได้ ผมจึงมาพบท่านครับ”
“ว่ายังไงนะ ? เจ้าบอกว่าต้องการสังหารมังกรปฐพีงั้นเรอะ?”
ด้วยความตกตะลึง’หลิวชวง’หันร่างครึ่งหนึ่งมาและมันก็ปรากฏร่างครึ่งที่ไม่ได้สวมอะไรของ’หลิวชวง’อยู่ต่อหน้าชั้น……
“อ้ะ….”
‘หลิวชวง’นึกสภาพของตัวเองขึ้นมาได้ หน้าแดงเล็กน้อยจ้องเขม็งมาที่ชั้นพลางพูดว่า
“อะไรกัน? นี่เจ้ายังไม่หันหลังกลับไปปิดประตูอีกหรือไร เจ้ายังดูไม่พอใช่ไหม?”
ที่มา: