I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Zhan Long ตอนที่ 218 โลกาสิ้นสูญ

| Zhan Long | 1400 | 2359 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

แปลโดยคุณ WildFox

//////////////

เมื่อมองไปที่ไอเทมที่เก็บมา ผมก็พบว่ายังเหลือไอเทมสวมใส่ชิ้นที่สามอยู่ ซึ่งมันเป็นโล่หกเหลี่ยมที่มีคมอยู่โดยรอบทุกด้านเสมอกัน แสงสีขาวเย็นตา แลดูเหมือนเป็นของศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากตัวโล่บางๆ เมื่อถือเอาไว้ในมือผมก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ส่งผ่านจากโล่มายังท่อนแขน พลังป้องกันของโล่ชิ้นนี้คงจะไม่ธรรมดาแน่นอน ลองสะบัดข้อมือเพื่อตรวจสอบค่าสเตตัส ซึ่งเมื่อมันปรากฏขึ้นต่อหน้า ผมก็หัวเราะทันที

“มัตชะ โล่ใหม่ของเธอมาแล้ว!”

[โล่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์](ไอเทมระดับม่วง)

พลังป้องกัน : +610

ความแข็งแกร่ง : +40

ความต้านทาน : +38

ความสามารถเพิ่มเติม : พลังชีวิตสูงสุดเพิ่มขึ้น 1000 หน่วย

ความสามารถเพิ่มเติม : เพิ่มอัตราต้านทานเวทย์อีก 23%

ความสามารถเพิ่มเติม : พลังโจมตี +70 โอกาสป้องกันสำเร็จ :+27%

เลเวลที่ต้องการ : 58

“หูวว…”

เมื่อมองดูที่สเตตัสของ [โล่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์]แล้ว’หลินว่านเอ๋อ’ก็มีอาการตกตะลึงอ้าปากค้างและพูดว่า

“สเตตัสแบบนี้ไม่มากไปหน่อยเหรอเนี่ยะ? ค่าพลังป้องกันอย่างเดียวก็เยอะจนทะลุตารางไปแล้ว นี่ยังไม่รวมกับที่เพิ่มพลังชีวิตให้อีก 1000 แถมพลังโจมตีอีก 70….ทั้งที่ยังเป็นแค่ไอเทมระดับม่วง สเตตัสแบบนี้โกงไปล่ะ….”

“หลังจากนี้ไป มัตชะจะเก็บเลเวลได้อย่างปลอดภัยขึ้นอีกเยอะเลย ดูจากอัตราที่เราเดินทางผ่านมา เมื่อพวกเราไปถึงชั้นที่สี่ เธอก็น่าจะเลเวล 58 และถ้าได้สวม[โล่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์]อันนี้ละก็ เธอก็จะสามารถทำหน้าที่แท้งค์บอสสุดท้ายได้สบายๆเลย…”

‘มัตชะ’ยืนอยู่ด้วยอาการสับสนเล็กน้อย หันมามองทำตาปริบๆใส่ผมแล้วถามว่า

“หัวหน้าคะ บอสสุดท้ายเนี่ยะต้องเป็นบอสระดับจักรพรรดิ์แน่นอน แล้วฉันจะไหวเหรอคะ?”

ผมยิ้มตอบพลางมอบ[โล่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์]ให้เธอแล้วพูดว่า

“ผมบอกว่าทำได้ เธอก็ต้องทำได้สิ อย่าห่วงไปเลย…”

“โอเคค่ะ หัวหน้า…”

หันกลับไปยังกองไอเทมอีกครั้ง ยังมีไอเทมอย่างอื่นที่บอสดรอปไว้อีกนอกจากไอเทมสวมใส่เหล่านั้น หินวิญญาณสำหรับอัพเกรดสองก้อนและแผ่นอะไรบางอย่างที่มีประกายแสงสีทองตกอยู่บริเวณที่เจ้าบอสมังกรถูกพิชิต เจ้าแผ่นนั้นดูคล้ายกับจารึกสำหรับสร้างกิลด์แต่ว่ารูปทรงนั้นไม่ใช่ ผมหยิบมันขึ้นมาถือด้วยมือทั้งสองข้าง ทำให้รู้ว่ามันเป็นไอเทมชนิดใหม่

[บัญชาจากสวรรค์ +2] :หลังจากกดใช้จะได้รับค่าเสน่ห์ +2 !

“ว้าวววว…”

‘ตงเฉิงเยว่’อุทานพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“เจ้าแผ่นจารึกบัญชาจากสวรรค์นี่ เป็นไอเทมสุดยอดอย่างหนึ่งเลยนะนี่ เพราะมันเพิ่มค่าสเน่ห์ให้นี่แหละ ดูอย่างค่าเสน่ห์ของเซียวเหยาสิ อย่างกับสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ของเค้าเลย เพราะไม่มีทางหาซื้อได้จากที่ไหน!”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“สำหรับเจ้าแผ่นจารึกบัญชาจากสวรรค์นี่ ….เอาเป็นว่าพวกเราทุกคนมาทอยเต๋าวัดดวงกันเถอะ มาดูกันว่าใครจะเป็นคนที่ได้ค่าเสน่ห์ไปเพิ่มอีก 2 แต้ม!”

“โอเค!”

ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน ป้ายบัญชาจากสวรรค์ได้ตกเป็นของ’หลิวย่ง’และเมื่อกดใช้เพื่อรับค่าเสน่ห์สองแต้มนั้น เขาก็รู้สึกดีใจซะจนเหมือนถูกล็อตเตอรี่ ขณะที่ผมยืนอยู่กลางแม่น้ำและหันไปมองทางโซ่เหล็กที่จะนำเราไปต่อนั้น ผมก็เก็บดาบประกายวสันต์เข้าฝักและพูดว่า

“ตอนนี้ก็ใกล้จะสองทุ่มแล้วล่ะนะ ผมว่าพวกเราพักกันซักหน่อยน่าจะเข้าท่ากว่าไหม? พวกเราควรกลับเมืองไปเพื่อซ่อมแซมอุปกรณ์และสำรองน้ำยาต่างๆ อาวุธของผมเองก็เหลือค่าทนทานแค่ 21% เท่านั้นเอง เสร็จแล้วพวกเราก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่เมืองปาฮวงตอนสี่ทุ่มตรงแล้วค่อยดิ่งมาที่นี่ หลังจากนั้นพวกเราจะยิงยาวไปจนกว่าจะพิชิตเควสระดับ SSS นี้ได้ พวกเราเห็นว่ายังไง?”

‘หยิ่วจื้อเฉิงโซ่ว’แย้งขึ้นว่า

“นี่ๆ…แต่พรุ่งนี้เจ้ต้องทำงานนะจ้ะ”

“ลางานสิครับ….”

“ไหนขอเหตุผลดีๆซักข้อในการหยุดงานมาสิ หนูๆ!”

“เจ้ก็บอกว่าติดธุระ….”

“แหม… คิดง่ายเนอะ….ก็ได้”

พวกสาวๆพากันใช้ม้วนคัมภีร์กลับเมืองเพื่อไปยังเมืองที่ตัวเองสังกัดอยู่และเตรียมข้าวของสำหรับใช้ลุยเควสในช่วงที่เหลือ ผมตรวจดูเลเวลของตัวเองอีกครั้งก็พบว่าเลเวล 60 เรียบร้อยแล้ว และด้วยยังไม่ต้องการรีบร้อนในการกลับเมือง ก็คิดได้ว่าควรจะแวะไปหาหลิวชวงเสียก่อนเพื่อที่จะได้ทำการเปลี่ยนอาชีพเสียเลยถ้าทำได้ ผมปีนกลับขึ้นมาจากชั้นสองที่ว่างเปล่านั้นใช้เวลาเกือบ 10 นาทีกว่าจะมาถึงชั้นที่หนึ่ง

และกว่าอีก 10 นาทีเพื่อที่จะมาถึงยังทางออกจากอารามมังกร

“แฮ่กๆ แฮ่กๆ…”

ผมเกือบสลบเมื่อสัมผัสกับแผ่นหินเย็นเฉียบนั้นและหอบหายใจอย่างหนักหน่วง รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงแต่ก็พยายามฝืนยืนขึ้นและก้าวต่อไปข้างหน้าแม้จะต้องใช้ดาบประกายวสันต์ประคองตัวไว้เมื่อผ่านยังทางเดินยาวที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำนั่น ในที่สุดก็มาถึงด้านบนและมองเห็นหลิวชวงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากผมเท่าใดนักซึ่งยืนขึ้นและตะโกนถามกลับมาว่า

“นั่นใคร?”

ผมสะบัดผ้าคลุมที่ปลิวมาบดบังใบหน้าออกพร้อมกับตอบด้วยรอยยิ้มที่สดใสว่า

“ท่านหลิวชวง ผมเองครับ”

‘หลิวชวง’รู้สึกตกใจในตอนแรกและก็หัวเราะขึ้นเมื่อจำได้พูดว่า

“โอ้ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม? เยี่ยมมาก! แล้วเจ้ารู้รึยังว่าท่านหยุนเฉินอยู่แห่งใด?”

“ยังครับ…”

ผมสูดลมหายใจลึก

“พวกเราต้องกลับไปยังเมืองปาฮวงเพื่อซ่อมแซมอาวุธและสำรองน้ำยาต่างๆกันก่อน แล้วจะกลับมาเพื่อจบภารกิจในการสำรวจอารามมังกรนี้ครับ แต่ว่า….”

ผมมองตรงไปที่’หลิวชวง’และพูดว่า

“ผมมีเลเวล 60 แล้วและต้องการเลื่อนชั้นอาชีพ ท่านเคยสัญญาไว้ว่าจะมาเป็นอาจารย์ให้ผม เช่นนั้นได้โปรดช่วยผมด้วยเพราะผมไม่อาจจะสู้ต่อไปได้โดยไม่มีอาชีพใดๆ”

“โอ้ ถ้าเช่นนั้น….”

‘หลิวชวง’มองผมอย่างพิจารณาและเดินตรงมา ยื่นมือมาสัมผัสที่หน้าอกของผมแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบานุ่มนวลว่า

“เจ้านักรบหนุ่ม บอกข้าทีสิว่า ข้าสามารถเชื่อใจเจ้าได้อย่างหมดใจใช่ไหม?”

ผมผงกศีรษะรับพร้อมตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังว่า

“ถ้าท่านยอมรับผมไว้เป็นศิษย์ ผมจะใช้พลังทั้งหมดที่มีของผมปกป้องป้อมมังกร ผมจะสละชีวิตเพื่อปกป้องท่านและจะรักษาคำมั่นนี้ไว้ตราบเท่าชีวิตจะหาไม่!”

“ตราบเท่าชีวิตหาไม่ เจ้าจะไม่แปรเปลี่ยน…..”

ไหล่ทั้งสองของ’หลิวชวง’สะท้านเล็กน้อยและสายตาแปรเปลี่ยนหลากความหมาย เธอก้มศีรษะลงพลางหลับตาและเมื่อลืมตาขึ้นก็กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มว่า

“เช่นนั้น ! นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ตัวข้าจะเป็นอาจารย์ให้เจ้าและเจ้าจะเป็นศิษย์ของข้า มาเถอะ เจ้าจะได้รับการต้อนรับโดยป้อมมังกรอีกครา!”

เมื่อกล่าวจบ ‘หลิวชวง’ก็วางมือที่เรียวขาวปานหิมะทว่าแข็งแกร่งนั้นลงที่อกของผม เธอหลับตาทั้งสองลงแล้วสวดอย่างนิ่มนวลว่า

“ป้อมมังกรที่มืดมนและเหน็บหนาวนี้ ทว่าไมตรีมีให้ไม่เสื่อมคลาย แม้ชีพวายเราจะไม่ยอมวิงวอน  จักยืนหยัดปกป้องที่รกร้างและเย็นเยียบแห่งนี้  ข้า หลิวชวง  หัวหน้ากองทหารบังคับมังกรแห่งป้อมมังกร ขอยกย่องเจ้าเป็นหนึ่งในฐานะนักรบมังกร นับจากนี้ เจ้าคือส่วนหนึ่งในชีวิตที่สำคัญของข้า แม้เจ้าจะตายและกลับมาเกิดใหม่ จงอย่าได้ทำข้าผิดหวัง !”

ผมจ้องกลับไปยังตาคู่สวยนั้นผงกศีรษะและรับปฏิญาณว่า

“ แม้ต้องเวียนว่ายซักกี่ครั้ง ผมไม่มีวันทำให้ท่านเสียใจ!”

ริมฝีปากของ’หลิวชวง’โค้งสวยด้วยรอยยิ้ม

“ดี  เจ้ากับข้า  มีชะตาชีวิตที่ต้องอุทิศแด่ป้อมมังกรและเราจะภักดีต่อราชาโหลวหลินตลอดไป!”

“ครับ!”

ทันใดนั้นเสียงสัญญาณดังขึ้นเช่นทุกครั้งบ่งบอกว่าผมบรรลุผ่านอาชีพขั้นที่สามแล้ว

“ติ๊ง!” ประกาศจากระบบ : ขอแสดงความยินดีด้วย ! คุณได้ผ่านสู่อาชีพขั้นที่สาม ! คุณจะได้รับฉายา [ผู้เฝ้ามองรัตติกาลแห่งป้อมมังกร] [นักดาบทอง]เนื่องจากคุณเป็นผู้เล่นคนที่สามในเมืองปาฮวงที่ผ่านอาชีพขั้นสาม คุณจะได้รับรางวัล : ค่าสเน่ห์ +4

เยี่ยม! ตอนนี้ค่าสเน่ห์ของชั้นรวมแล้วทั้งหมด 51 แต้ม!

ผมหันไปที่’หลิวชวง’ส่งยิ้มให้และถามว่า

“ท่านหลิวชวง ไม่ทราบว่าพอจะมีสกิลอะไรจากอาชีพขั้นสามที่พอจะสอนผมได้มั่งไหมครับ ?”

‘หลิวชวง’ยิ้มพรายตอบว่า

“เจ้าอยากจะชมไหมล่ะ?”

“ครับ!”

“ถ้าเช่นนั้นหลบไปนิดหนึ่ง…”

ผมถอยหลังมาสองสามก้าว ‘หลิวชวง’พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าใช้ได้แล้วก็ทำเสียงต่ำในลำคอ ดวงตาลุกโชนด้วยพลังทันใดนั้นก็ยกฝ่ามือไปด้านหน้าและกางออกพลันดาบที่อยู่บนหลังของเธอก็ลอยขึ้นสูงเหนือศีรษะเล็กน้อยตามมาด้วยเสียง

“ชิ้ง”

ชั่วพริบตาดาบเล่มนั้นก็กลายเป็นเงารูปดาบสามเล่มลอยอยู่ท่ามกลางอากาศปลายดาบชี้ตรงไปยังเป้าหมายคือกำแพงเบื้องหน้า ‘หลิวชวง’ฉีกยิ้มเล็กน้อยแล้วก็รวบฝ่ามือเป็นกำปั้นส่งเสียงเบาๆว่า

“ทำลาย!”

“ฟิ้ว!”

เงาดาบทั้งสามพุ่งตรงเข้าทำลายกำแพงด้านหน้าจนมันกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยในทันที  แม่เจ้า! นี่มันดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำลายเพียงแค่เป้าหมายเดียวเท่านั้นนะ แถมยังเป็นสกิลโจมตีจากระยะไกลอีก!

“ชื้บ!”

ดาบเล่มเดิมบินกลับมาสู่ฝักเรียบร้อย ‘หลิวชวง’เอามือกอดอกยิ้มน้อยๆให้ผมและถามว่า

“เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าอยากจะเรียนวิชานี้หรือไม่? วิชานี้หาได้เข้าใจยากจนเกินไป เจ้าสามารถเรียนรู้ได้เลยเมื่อดูจากความเข้าใจและฝีมือของเจ้าตอนนี้…”

ผมตื่นเต้นมากจนผงกศีรษะไม่หยุดรีบบอกว่า

“ผมจะเรียนครับ! ไม่สิ ผมต้องการที่จะเรียนมันครับ!”

“หึหึ ตกลง…”

หน้าต่างคำสั่งโปร่งแสงปรากฏขึ้นเบื้องหน้า มีคำอธิบายอันน่าตื่นตาตื่นใจบรรยายอยู่บนนั้น

[โลกาสิ้นสูญ ขั้นที่ 1](ระดับ S ) : เรียกพลังจากอดีตกาลผสานลงในคมดาบ สกิลนี้โจมตีทำลายสร้างความเสียหายจำนวนมากแก่เป้าหมายที่ระบุและยังสร้างความเสียหายกระจายไปยังเป้าหมายรอบข้างในรัศมีอีกด้วย

สถานะ: [โลกาสิ้นสูญ] ลดประสิทธิภาพในการฟื้นฟูและการรักษาลง 50% เป็นเวลา 12 วินาที  เรียกใช้ 50 มานา คูลดาวน์ 12 วินาที ค่าเรียนสกิล 500 เหรียญทอง

ต้องการเลเวลขั้นต่ำ : 60 อาชีพที่เรียนได้  : [ผู้เฝ้ามองรัตติกาลแห่งป้อมมังกร]

[โลกาสิ้นสูญ] ช่างเป็นชื่อสกิลที่บรรยายพลังทำลายได้โหดร้ายดีแท้ แถมพลังทำลายของมันก็ยังรุนแรงสมชื่อซะด้วย แม้ระยะโจมตีจะไม่ไกลมากแต่ก็ยังถือว่าได้เปรียบกว่าสกิลระยะประชิดอื่นๆแถมยังกระจายความเสียหายใส่เป้าหมายรอบๆอย่างรุนแรงอีกด้วย นี่ยังไม่นับดีบัฟในการลดประสิทธิภาพในการรักษาของเป้าหมายที่ถูกโจมตีไปด้วย

มันถูกออกแบบมาไว้เพื่อการโจมตีระยะไกลดังนั้นจึงเหมาะในการใช้สังหารนักธนูและนักเวทย์ แม้กระทั่งพวกนักรบเกราะหนักก็ถือว่าได้เปรียบเพราะเป็นสกิลโจมตีระยะไกลทำให้สามารถเปิดฉากโจมตีได้ก่อน ผมปรบมือหนึ่งครั้งเพื่อจ่ายเงินจำนวน 500 เหรียญทองเพื่อเรียนสกิลทันที!

“วูบ!”

[โลกาสิ้นสูญ]ทันใดผมก็เห็นกรอบสีทองสว่างขึ้นในเมนูสกิล ได้เรียนสกิลระดับ S จากอาจารย์ของตัวเอง อาชีพลับของผมนี่มันเจ๋งจริงๆ! หลังจากการเรียนสกิลแรกเรียบร้อยแล้ว ผมก็พยายามส่งสายตาละห้อยให้อาจารย์หลิวชวง ซึ่งเธอก็ทำสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มและพูดว่า

“เจ้าอย่ามองข้าเช่นนั้น ! ข้ามิอาจสอนสิ่งใดให้เจ้ามากไปกว่านี้ เพราะว่าระดับฝีมือของเจ้ายังน้อยไป สำหรับวิชาต่อสู้สำหรับอาชีพขั้นสามของนักดาบอื่นๆเจ้าก็ไปหาเรียนเอาที่ไหนก็ได้ ถ้าเจ้าต้องการ ตามแต่ใจของเจ้า…”

เมื่อจบคำ หน้าต่างอินเตอร์เฟสที่เป็นตารางของสกิลต่างๆของนักดาบเลเวล 60 ที่ผ่านการเลื่อนขั้นอาชีพแล้วก็ปรากฏขึ้น

[คมดาบสะเทือนฟ้า ขั้นที่ 1] (A) : อัญเชิญพลังจากเทพในอดีต สร้างความเสียหายจำนวนมากแก่เป้าหมายที่ระบุ ลดประสิทธิภาพในการรักษา 30% ค่าเรียน 20 เหรียญทอง เรียกใช้ 30 มานา คูลดาวน์ 12 วินาที คุณได้เรียนรู้ [โลกาสิ้นสูญ] แล้วไม่อาจเรียนสกิลนี้ได้อีก

[เพลิงแค้นขั้นที่ 1] (A) : อยู่ในสภาวะเร่งพลัง ทำให้พลังโจมตีเพิ่มขึ้น 1% ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ประสิทธิภาพของสกิลขึ้นอยู่กับดาเมจที่ได้รับ  ค่าเรียน 20 เหรียญทอง เรียกใช้ 30 มานา คูลดาวน์ 12 วินาที คุณสามารถเรียนสกิลนี้ได้

[ฟันพริบตา ขั้นที่ 1] (A) : รวมรวบปราณไว้ที่คมดาบและพุ่งทะยานไปด้านหน้าระยะ 5 เมตร สร้างความเสียหายแก่ทุกสิ่งที่เคลื่อนผ่าน ค่าความเสียหายขึ้นอยู่กับค่าความแข็งแกร่งของคุณ เรียกใช้ 40 มานา คูลดาวน์ 12 วินาที ค่าเรียน 40 เหรียญทอง คุณสามารถเรียนสกิลนี้ได้

ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ ผมจ่ายเงินเรียน [เพลิงแค้น]กับ[ฟันพริบตา]ทันที สกิล[เพลิงแค้น]นั้นเพิ่มพลังโจมตี และที่เลเวล 10 มันจะเพิ่มพลังโจมตีได้ถึง 10% ซึ่งช่วยเสริมการโจมตีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ส่วน[ฟันพริบตา]นั้นเป็นสกิลที่ผมฝันอยากจะมีไว้ใช้นานแล้ว เป็นสกิลโจมตีกระทันหัน ประสิทธิภาพของมันคล้ายคลึงกับสกิล [คมโหดกระโดดตื้บ] ของ ‘หรันหมิ่น’  ซึ่งมีประโยชน์ทั้งใช้บุกโจมตีหรือใช้ล่าถอย เป็นสกิลที่สารพัดประโยชน์จริงๆ!

และเมื่อผมอุตส่าห์ได้เรียนสกิลมาใหม่ตั้งสามสกิล ต้องไปลองของกันหน่อยแล้วงานนี้!

ผมกางฝ่ามือไปด้านหน้าและด้านหลังลำตัว ดาบประกายวสันต์ก็เด้งออกจากฝักแล้วแยกออกเป็นเงาดาบสามสายลอยอยู่ท่ามกลางอากาศ เมื่อล็อคเป้าไว้ที่ต้นไพน์ที่ยืนต้นแข็งอยู่ด้านหน้านั้นแล้วก็พลันรวบฝ่ามือเป็นรูปกำปั้นเพื่อให้สกิล [โลกาสิ้นสูญ]ทำงาน ต้นไม้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกระจายเป็นชิ้นๆทันที

เมื่อเงาดาบสามสายพุ่งเข้าทำลายเสียงดังสนั่นแม้กระทั่งกอหญ้าที่ขึ้นท่วมอยู่แถวนั้นก็ถูกตัดราบไปครึ่งหนึ่ง ประสิทธิภาพของสกิลนี้ไม่ได้น้อยหน้า[คมดาบวายุ]เลยแม้แต่น้อยออกจะดีกว่าด้วยซ้ำเพราะมันเป็น AOE! จากนั้นผมก็ลองเรียกใช้สกิล [เพลิงแค้น]พลันได้ยินเสียงสะท้อนของคลื่นพลังเบาๆและที่ศีรษะปรากฏรูปดาบลอยอยู่ให้เห็น

ระบบแจ้งให้ทราบว่าพลังโจมตีของชั้นเพิ่มขึ้น 1% ถ้าผมอัพเลเวลสกิลคงจะแสดงผลค่าโจมตีที่ได้มากกว่านี้ และลองเรียกใช้สกิลสุดท้ายด้วยการกุมที่ด้ามของดาบประกายวสันต์ด้วยมือทั้งสองแน่น เริ่มต้นร่ายสกิล[ฟันพริบตา]

ทันใดนั้นพลังปราณก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่าง ในจังหวะที่ตวัดดาบออกไปนั้น เสียงดัง “ฟุ่บ”

ก็ได้ยินถนัดนี่เมื่อร่างกายเคลื่อนไปยังทิศทางที่กำหนดราวห้าเมตร บนพื้นร่องรอยของดาบที่กรีดลึกลงไปเป็นทางยาวสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนละก็ดาบของผมต้องตัดผ่านขั้วหัวใจของทุกคนที่ยืนขวางอยู่แน่นอน ……….

ขณะที่ผมยืนยิ้มอย่างดีใจอยู่นั่นเอง ‘หลิวชวง’ก็ยิ้มและถามว่า

“นั่น เพียงพอแล้วใช่ไหม ?”

ผมผงกศีรษะเป็นคำตอบพร้อมพูดว่า

“ท่านหลิวชวง ผมคงต้องกลับเมืองปาฮวงก่อนนะครับแล้วพบกันใหม่ครับ!”

“ตกลง ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ !”

จังหวะนั้นเอง ‘หลินว่านเอ๋อ’ก็ได้ส่งข้อความมาหาผมสั้นๆว่า

“ออกเกมส์ได้แล้วตายืดยาด ได้เวลามื้อค่ำแล้วจ้ะ…”

“ครับ คุณหนู!”

 

ที่มา:

*มีใครอ่านอยู่บ้าง เงียบจังเลย!!

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments