I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Zhan Long ตอนที่ 219 บุคคลที่น่าสงสาร

| Zhan Long | 1336 | 2361 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

แปลโดยคุณ WildFox

////////////////////

TL :ตอนนี้เนื้อหาค่อนข้างหมิ่นเหม่ในเรื่องศีลธรรมโปรดใช้วิจารญาณในการอ่าน

คืนนั้น มหาวิทยาลัยหลิวหัวเงียบเชียบจนน่าแปลกใจ สองสาวงามยืนรออยู่ข้างทางโดยมีสายลมพัดพาเอาความสดชื่นพริ้วมาอยู่เป็นระยะๆได้สักพักใหญ่แล้ว ผมกำลังข้ามถนนเพื่อตรงไปหาพวกเธอนั่นเอง ‘หลินว่านเอ๋อ’ก็ตะโกนว่า

“ระวัง! รถมา”

“เฮ้ย!”

เงาดำของพาหนะผ่านหน้าผมไปด้วยความเร็วสูงตามมาด้วยเมอร์ซิเดส-เมแบชอีกคันที่ขับตามกันไป ผมมองตามไปพลางก่นด่าในใจ ไอพวกลูกคนรวยในมหาลัยหลิวหัวนี่จริงๆเลย รถยนต์สองคันนั่นคันหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่าห้าล้านหยวนเลยนะนี่! ………

“พวกนั้นมันเป็นใครกันครับเนี่ยะ?”

สายตาของผมยังมองไปที่รถยนต์สองคันนั้นที่ขับห่างออกไปขณะที่สาวเท้าเดินไปหาพวก’หลินว่านเอ๋อ’

‘หลินว่านเอ๋อ’เบะริมฝีปากเล็กๆ

“ฉันจะไปตรัสรู้ได้ไงละ แต่จะเป็นใครก็ช่างเถอะ….”

สักพักต่อมา รถยนต์สองคันนั้นก็ไปขับไปจอดที่บริเวณทางแยกซึ่งใกล้กับเสาไฟส่องทาง ตามมาด้วยเสียง “กริ้ก”

เมื่อประตูของรถยนต์ถูกเปิดออกมาพร้อมด้วยร่างของชายหน้าตาดีคนหนึ่งแต่สีหน้าค่อนข้างจะดูเบื่อๆก้าวลงมาจากรถเขาขยับแขนจัดเสื้อผ้าพลางหัวเราะเบาๆพูดขึ้นว่า

“อืม….นี่สินะมหาวิทยาลัยหลิวหัวที่ว่านเอ๋อเรียนอยู่ ก็ดูไม่เลวเท่าไหร่นี่ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ชั้นจะมาฝึกภาษาจีนของชั้นที่นี่….”

ประตูของเมอซิเดส-เมแบชเปิดออก พลันก็มีชายกำยำในชุดดำสามคน ก้าวมายืนแล้วโค้งศีรษะอย่างนอบน้อมแล้วพูดว่า

“ท่านประธานจะไปลงทะเบียนเลยไหมครับ?”

“อืม….”

“พระเจ้า…”

‘ตงเฉิงเยว่’กระพริบตารัวๆไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“นั่นมันนายอิตโต้ มาโกโตะ(ชื่อของหวังจือเฉิงตอนอยู่ญี่ปุ่น) ที่พวกเราเคยเจอไม่ใช่เหรอน่ะ?”

‘หลินว่านเอ๋อ’ส่งสายตามองตามไปยังผู้ที่ยืนอยู่ไกลๆนั้นและว่า

“จำแม่นนะเธอเนี่ยะ นั่น หวังจือเฉิงจริงๆแหละ ฉันไม่คิดว่าเขาจะมาเอาจริงๆ ช่างเป็นการมาที่ฟุ่มเฟือยดีนะ นั่นแหละCEO ของบริษัท บูสเทอร์ สาขาเมืองจีนตัวจริงสมชื่อ”

‘ตงเฉิงเยว่’เบะปากแล้วก็หันมาพูดว่า

“เซียวเหยา ว่านเอ๋อ พวกเราไปหาอะไรทานกันต่อดีกว่า…”

“อื้อ…”

ทันใดนั้นร่างของชายหญิงคู่หนึ่งก็เดินมาปรากฏให้เห็นจากทางหัวมุมถนนอีกฝั่งหนึ่งซึ่งก็เป็นคนที่พวกเรารู้จักอีกนั่นแหละ พวกเขาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก’ซีฉู่ป้าหวาง’

‘หลิ่วอิง’และ’สวีเยว่’แฟนสาวของเขานั่นเอง ดูอาการของ’สวีเยว่’กำลังโกรธจัดและทุบ’หลิ่วอิง’พร้อมกับตะโกนว่า

“เธอ หลิ่วอิง ไม่เคยขาดผู้หญิงได้เลยใช่ไหมหือ? แม้กระทั่งชั้น สวีเยว่คนนี้จะเป็นคนจนแต่เธอก็ยังยอมพาชั้นไปไหนมาไหนด้วย นี่เธอคิดว่าชั้นไปไหนมาไหนกับเธอเพราะว่าเงินงี่เง่าพวกนั้นน่ะเหรอหา? ชั้นจะบอกอะไรให้นะ ชั้นไม่สนใจหรอก…”

‘หลิวอิง’จับมือของ’สวีเยว่’ไว้แน่นพลางพูดว่า

“นี่ อาเยว่ ฟังผมก่อนสิ ผมไม่ได้หมายความอย่างที่ปากพูดจริงๆหรอกนะ ตอนนั้นผมกำลังโกรธหลี่เซียวเหยาน่ะเลยพูดระบายออกไปอย่างนั้น…. เมื่อคืนน่ะ…เอ่อ..เมื่อคืนวานทั้งคืนน่ะ….”

‘สวีเยว่’เหวี่ยงหนักเข้าไปอีก

“เธอกล้าพูดไหมล่ะว่าเธอไม่ได้นอนกับนังผู้หญิงที่บาร์นั่นเมื่อคืนน่ะ หือ? หึ หลิ่วอิง ชั้นกำลังขยะแขยงนาย เราจบกันแค่นี้แหละ ถึงชั้นจะจน แต่ผู้หญิงอย่างชั้น สวีเยว่คนนี้ ก็สามารถหาผู้ชายจากที่ไหนก็ได้ที่ดีกว่านายเป็นร้อยเป็นพันเท่า!”

‘หลิ่วอิง’ทำเสียงขึ้นจมูก

“หึ ที่พูดเนี่ยเพราะโกรธผมจนลืมตัวใช่ไหม งั้นผมจะทำเป็นว่าไม่ได้ยินก็แล้วกันนะ แต่ถ้าเธอหมายความอย่างที่พูดจริงๆล่ะก็ ให้ตายสิ ไหนลองหามาให้ดูซักคนสิผู้ชายที่มันดีกว่าผมเนี่ยะ!”

“ได้…ถ้าอย่างนั้น”

‘สวีเยว่’พ่นลมออกจมูกแล้วเดินจากไปโดยไม่ยอมหันกลับหลังไปตามทางเดินลาดยางมะตอยสะบัดเท้าทิ้งส้นสูงของเธอปลิวหวือไปอย่างไม่ใยดี พอมองเห็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอก็ปรี่เข้าไปหาทันที พลันก็โอบกอดแขนของ’หวังจือเฉิง’ผู้ซึ่งยืนอยู่หน้าสุดของคนกลุ่มนั้น แล้วก็ใช้ปากจูบเขาทันที

บอกได้เลยว่างานนี้มีลิ้นพันกันนัวเนียเล่นจูบกันแบบฝรั่งเศสอย่างนั้น….

“โอ้….”

‘หวังจือเฉิง’ยืนกางแขนค้างนิ่งอยู่อย่างไม่เชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นในขณะที่’สวีเยว่’หลับตาพริ้มบรรจงจูบเขาแถมยังเอาร่างเบียดกับ’หวังจือเฉิง’อย่างแนบแน่น ทั้งยังเอามือข้างหนึ่งกุมมือขวาของ’หวังจือเฉิง’ไว้แน่นในขณะที่อีกข้างก็วางไว้บนอกของเขาอย่างยั่วยวน

‘หวังจือเฉิง’ใช้มือข้างหนึ่งจับที่ข้อมือของ’สวีเยว่’ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นมากันไว้ที่ระดับอกของตัวเอง อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นเขาเพียงแค่ยืนอยู่กับที่และทำเหมือนว่าตกอยู่ในความตะลึงนั่นเอง เบื้องหลังของ’หวังจือเฉิง’บรรดาบอดี้การ์ดก็พากันหัวเราะประจบเจ้านายทันทีว่า

“แหม ท่านประธานนี่โชคดีจริงๆเลยนะครับ เพิ่งจะมาถึงมหาลัยไม่ทันไรก็มีสาวสวยขนาดนี้มามอบจุมพิตให้ซะแล้ว ช่างน่าอิจฉาจริงๆครับ…”

“เอ่อ….”

‘หวังจือเฉิง’ดันร่างของ’สวีเยว่’ออกในที่สุดพร้อมทำท่าทางไม่รู้เรื่องอันใดถามว่า

“คุณเพื่อนร่วมสถาบันครับ คุณเป็นใครครับ?”

‘สวีเยว่’ไม่ตอบแต่จ้องกลับพร้อมถามว่า

“เธอชื่ออะไรและมีแฟนรึยัง?”

‘หวังจือเฉิง’ตอบกลับไปว่า

“ผม…ผมชื่อ หวังจือเฉิง ยินดีที่ได้รู้จักครับ และก็ยังไม่มีแฟนแต่ว่า เอ่อ….”

“ไม่มีแต่!”

‘สวีเยว่’สั่ง’หวังจือเฉิง’ให้กระชับวงแขนกอดเธอและพูดว่า

“จากวันนี้เป็นต้นไป ฉันจะเป็นแฟนของเธอ เธอไม่เห็นด้วยอย่างนั้นเหรอ?”

“เอ่อ..ไม่ใช่ว่า….คือแบบว่าไม่ใช่อย่างนั้น…”

‘หวังจือเฉิง’ทำสีหน้าประมาณว่าเป็นเรื่องน่าอายพูดว่า

“ผมยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อของเธอ ผมเองก็เพิ่งจะมาถึงที่นี่เอง พวกเรายังไม่ได้ทำความรู้จักกันเท่าไหร่เลย ผมคิดว่ามันอาจจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ นะครับคุณเพื่อนร่วมสถาบัน…และเธอ…..”

‘สวีเยว่’น้ำตานองใบหน้าพลางพูดไปทั้งๆที่ร้องไห้ว่า

“ฉันแค่ต้องการเป็นผู้หญิงของเธอ เธอจะต้องการฉันหรือไม่ก็บอกมาเลย?”

‘หวังจือเฉิง’บดกรามตอบว่า

“ ผม…เอ่อ..ผม..”

ห่างไปไม่ไกลนัก ‘หลิ่วอิง’ซึ่งกำลังโกรธจนควันแทบออกหูทั้งยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลันก็ชกเปรี้ยงไปที่เสาไฟข้างทางพร้อมตะโกนว่า

“สวีเยว่! ในชีวิตผมไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนไร้ค่าเท่ากับสิ่งที่เธอทำเลย เอาเลยสิ! ทำไมไม่นอนกับไอหมอนั่นซะตรงนี้เลยเล่า? ผมนี่มันตาบอดขนาดไปชอบผู้หญิงอย่างเธอได้ยังไงนี่ บัดซบเอ้ย! เธออย่าได้โผล่มาให้ผมเห็นหน้าอีกเป็นอันขาดนะ!”

‘สวีเยว่’ฉีกยิ้มสะใจและพูดว่า

“หลิ่วอิง ทีนี้เข้าใจความโกรธของชั้นแล้วสินะ ไอความทะนงตัวของเธอมันหายไปไหนหมดแล้วล่ะ หือ ?”

ตอนนั้นเอง ‘หวังจือเฉิง’ขยับตัวถอยหลังไปสองสามก้าวคลายวงแขนที่กอด’สวีเยว่’ไว้และหันไปพูดกับเธอด้วยท่าทางสุภาพว่า

“ผะ..ผมไม่ต้องการจะเป็นคนที่ทำให้คุณทั้งคู่แยกกัน  ผะ..ผมจะถือว่าผมไม่เคยอยู่ที่นี่ก็แล้วกันนะครับ เอ่อ…แบบนั้นแหละ…”

‘หวังจือเฉิง’พลันหันมาเห็น’หลินว่านเอ๋อ’ ‘ตงเฉิงเยว่’และผมที่กำลังเดินผ่านไปพอดีเข้าก็ทำเป็นตัวแข็งทื่อละล่ำละลักพูดว่า

“หลินว่านเอ๋อ….พวกเธอ…เอ่อ พวกเธอมาที่นี่ได้ยังไงกันนี่?”

‘หลินว่านเอ๋อ’ยิ้มตอบเรียบๆว่า

“พวกเราอยู่นี่ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ท่านประธานหวัง เห็นว่ากำลังเพลินก็เลย….ฮิฮิ…”

‘หวังจือเฉิง’รีบก้าวมาทันทีและแก้ตัวว่า

“ว่านเอ๋อ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ… คือว่าผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น… ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ…”

‘หลินว่านเอ๋อ’พลางพูดด้วยริมฝีปากแดงสวยนั้นว่า

“ไม่ได้หมายความว่าอะไรหรือคะ คุณหวังจือเฉิง ?”

‘หวังจือเฉิง’คอตกพลางเงียบคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า

“พวกเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ ใช่ไหมครับ?”

“คงอย่างนั้นมั้งคะ?”

“อย่างนั้นก็ดีแล้ว ผมไม่ได้ต้องการจะมีเรื่องอะไรกับใครจริงๆ สถานการณ์เมื่อกี้นี้มันเป็นเรื่องที่ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นจริงๆ…”

‘หลินว่านเอ๋อ’พูดขำๆ

“อย่าคิดมากเลยค่ะ ฉันไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจหรอกค่ะ”

ว่าแล้ว’หลินว่านเอ๋อ’ก็จับมือผมแล้วพูดว่า

“หลี่เซียวเหยา เราไปหาอะไรทานกันเถอะ วันนี้ถึงตานายเลี้ยงพวกเราแล้ว…”

“ไม่มีปัญหาครับผม….”

ผมอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น ‘หวังจือเฉิง’รีบก้าวมาด้านหน้าและพูดขึ้นว่า

“ว่านเอ๋อครับ เอ่อ….เพราะว่าผมเพิ่งจะมาถึงที่นี่ ให้โอกาสผมได้เลี้ยงอาหารคุณสักมื้อได้ไหมครับ เอาเป็นพรุ่งนี้เป็นยังไงครับ? จริงๆแล้วเป็นเพราะมีรายละเอียดบางอย่างในเครือบริษัทของคุณพ่อของคุณ ที่ผมยังไม่เข้าใจอีกเล็กน้อยนะครับ อีกอย่างก็เป็นคุณหลินท่านเองด้วยที่บอกให้ผมถามจากคุณว่านเอ๋อ…”

‘หลินว่านเอ๋อ’กระพริบตาช้าๆ

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ? งั้น ฉันคิดว่าก็ได้ค่ะ”

“ครับ ขอบคุณครับ! ขอบคุณ!”

เมื่อผละจากพวกเขาเหล่านั้นมา พวกเราก็ตรงไปที่โรงอาหารที่สองเพื่อสั่งอาหารและก็เริ่มรับประทานกัน

“หวังจือเฉิงมาที่มหาลัยแล้วจริงๆ….”

‘หลินว่านเอ๋อ’ท่าทางเป็นกังวล ‘ตงเฉิงเยว่’พูดขำๆว่า

“ว่านเอ๋อ เธอก็ต้องมองในมุมของคุณพ่อของเธอดูบ้างนะ ท่านน่ะต้องการให้เธอทำความรู้จักกับหวังจือเฉิงบ้าง อันที่จริงนะ ฉันก็ว่าเค้าไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรนะ หน้าตาก็ไม่ได้ถึงขนาดดูไม่ได้ เค้ายังสงบเสงี่ยมอยู่ได้ทั้งๆที่สวีเยว่รุกหนักขนาดนั้น เธอน่าจะจัดว่าเค้าเป็นสุภาพบุรุษได้ละนะ ไม่เพียงแค่นั้น หน้าตาทางสังคมเอยกริยามารยาทเอย ในมหาลัยฯนี่ฉันว่าเขาต้องเป็นที่หมายปองของบรรดาสาวๆแน่เลย แต่พูดก็พูดเถอะ โดยส่วนตัวฉันก็ยังขอเลือกเซียวเหยา…”

พูดถึงตรงนี้ ‘ตงเฉิงเยว่’ก็หันมามองที่ผมและทำตาปริบๆพร้อมรอยยิ้มที่ยั่วโมโห ‘หลินว่านเอ๋อ’นิ่งไม่ตอบโต้อะไรจนในที่สุดก็พูดว่า

“โธ่เอ้ย! ยัยเพื่อนตัวแสบเธออย่าเพิ่งถือโอกาสนี้มาแทะโลมเซียวเหยาสิ ฉันอยากจะปรึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังนะ ฉันจะใช้ชีวิตอย่างปกติสุขต่อไปยังไงเมื่อหวังจือเฉิงเข้ามาเรียนที่นี้แล้วเนี่ยะ? เขาทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดจริงๆนะ”

ผม

“วางใจเถอะครับ ตราบใดที่ผมยังอยู่ที่นี่ ไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้หวังจือเฉิงมาแตะต้องคุณได้แม้แต่ปลายเส้นผม”

“แต่ว่า…”

‘หลินว่านเอ๋อ’ทำหน้างอพร้อมกับปากเล็กๆนั้นพูดต่อไปว่า

“แต่ว่านายก็รู้นี่ เขาเป็นคนที่คุณพ่อของฉันแนะนำมา ถ้านายเกิดไปมีเรื่องกับหวังจือเฉิงล่ะก็ ฉันกลัวว่าด้วยความเป็นคนตรงไปตรงมาของคุณพ่อ ท่านอาจจะทำอะไรบางอย่างให้นายอึดอัดแน่เลย ฉันกลุ้มใจมากเลยนะ…”

ผมกำหมัดแน่นหัวเราะเบาๆว่า

“ว่านเอ๋อ ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ผมก็ไม่ได้แค่ใช้ชีวิตไร้จุดหมายไปวันๆผ่านมาตลอดช่วงหลายปีนี้หรอกนะครับ แต่ถ้าคุณพ่อของคุณท่านคิดจะทำอะไรผมจริงๆล่ะก็วางใจเถอะครับผมจะไม่ทำอะไรถึงชีวิตหรอกครับ!”

‘หลินว่านเอ๋อ’

“….”

‘ตงเฉิงเยว่’หันมาทางมองทางผมและพูดว่า

“แล้วอีตาโมะโตจังนั่นล่ะ?”

“ช่างเขาเถอะฉันจะไม่สนใจเขา พวกเราจะใช้ชีวิตตามปกติของเราไป…”

‘หลินว่านเอ๋อ’ตอบอย่างจนใจ ผมหัวเราะเสียงดัง

“อันที่จริงแล้ว หลิ่วอิงน่าจะเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดนะครับ เพียงเพราะแค่การมาถึงของหวังจือเฉิงเท่านั้นเขาก็แทบจะโขมยหวานใจของหลิ่วอิงไปอย่างง่ายๆ ว่าแต่สวีเยว่นี่มองยังไงก็ไม่น่าจะนับว่าเป็นผู้หญิงที่ดีได้เลยครับแต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้หลิ่วอิงถึงกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้แบบนั้น…”

‘ตงเฉิงเยว่’หัวเราะอย่างตื่นเต้น

“หลิ่วอิงน่ะเป็นคนแบบไหน? พวกเราก็รู้กันดีอยู่ เขาเป็นลูกของเจ้าของกิจการผู้มั่งคั่งแถมยังเป็นอันธพาลกร่างไปทั่ว โดยปกติแล้วแค่คำพูดของเขาแทบจะคุมมหาลัยได้แล้วละ แล้วหวังจือเฉิงมาทำแบบนี้กับเขา ดูท่ามหาลัยหลิวหัวของเราคงจะคึกคักแน่ๆเลย หวังจือเฉิงปะทะหลิ่วอิงน่าจะมันส์พะย่ะค่ะเลยคอยดูสิ…”

“อื้อ…”

จากนั้นไม่นานหลังจากพวกเราทานอาหารกันเสร็จผมก็ส่งสองสาวกลับเข้าหอพักนักศึกษาหญิงเรียบร้อยแล้วก็เดินเอื่อยๆกลับไปทางหอพักชาย ยังมีเวลาเหลืออีกเกือบ 30 นาทีก่อนจะถึงเวลานัดหมายดังนั้นจึงไม่ต้องรีบร้อนอะไร

“ฟิ้วววว…”

เสียงลมพัดเอาใบ้ไม้ที่อยู่ตามพื้นลอยหายไป มหาลัยในช่วงเวลาสามทุ่มครึ่งนี่เงียบมากๆ บรรดาคู่รักทั้งหลายก็ต่างพากันไปยังสวนสาธารณะทำให้บริเวณรอบๆหอพักนักศึกษาชายแทบจะกลายเป็นแดนร้าง เสียงฝีเท้าของผมเองที่ย่ำไปบนหญ้าขณะที่ขอบเขตการรับรู้ของตัวเองก็แผ่ขยายออกไปตามปกติ

ทันใดนั้นก็จับความเคลื่อนไหวอะไรได้บางอย่าง ต้องมีใครบางคนอยู่แถวๆนี้แน่นอน! ผมรีบสาวเท้าย่องเข้าไปอย่างแผ่วเบาตามแนวพุ่มไม้ และก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นกลุ่มชายในชุดดำจำนวนหนึ่งยืนแฝงกายในเงามืดอยู่บริเวณนั้นยิ่งไปกว่านั้น ยังมีร่างของคนประมาณเจ็ดหรือแปดคนนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่ที่พื้น

ในกลุ่มของพวกที่ยืนอยู่นั้น มี’หวังจือเฉิง’ยืนรวมอยู่ด้วยส่วนพวกที่เหลือน่าจะเป็นบอดี้การ์ดของเค้านั่นเอง!

“ไหนว่าไงล่ะ? ยังอยากจะลองของกับชั้นอยู่อีกไหม?”

‘หวังจือเฉิง’มองด้วยสายตาเย็นชาไปยัง’หลิ่วอิง’ที่นอนกองอยู่กับพื้น ‘หลิ่วอิง’ซึ่งใบหน้าบวมเป่งในมือยกโทรศัพท์ขึ้นพร้อมพูดว่า

“แกรอแป้บหนึ่งเดี๋ยวรู้ผล!”

‘หวังจือเฉิง’ส่งสายตาไปมองลูกน้องแว้บหนึ่ง พลันคนในชุดดำผู้หนึ่งก็ก้าวออกไปแล้วก็แย่งโทรศัพท์ไปจากมือของ’หลิ่วอิง’ ตามมาด้วยเสียงดัง

“กร๊อบ”

มือถือของ’หลิ่วอิง’ก็แหลกไม่มีชิ้นดีในทันที ผมถึงกับตกใจเล็กน้อยที่ชายในชุดดำนั้นมีกำลังข้อมือที่ไม่ธรรมดาจริงๆ!

“ชั้นได้ยินมาว่า แกคุมมหาลัยนี้ใช่ไหม?”

‘หวังจือเฉิง’มองลงไปที่’หลิ่วอิง’ด้วยใบหน้าที่ดูเบื่อหน่าย

“เอาอย่างนี้และกันนะ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ชั้นจะเป็นขาใหญ่ของที่นี่เอง แกเข้าใจไหม หา?”

‘หลิ่วอิง’คำรามด้วยความโกรธ

“ไปตายซะ ไอ้ขยะ!”

“ขยะงั้นเหรอ?”

‘หวังจือเฉิง’หัวเราะลั่น

“แกยังไม่มีปัญญารั้งผู้หญิงของตัวเองไว้เลย แกยังจะมีหน้ามาว่าคนอื่นอีกยังงั้นเรอะ?”

“สวีเยว่..  สวีเยว่เธอแค่….”

‘หลิ่วอิง’ไม่มีคำจะพูดต่อ …….

“สวีเยว่..”

‘หวังจือเฉิง’หมุนร่างของ ‘สวีเยว่’เข้าสู่อ้อมอกขณะที่มุมปากก็ฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงของชั้นแล้ว….”

“ไม่, เธอไม่ใช่ของแก!”

“จริงเหรอ…?”

‘หวังจือเฉิง’ก้มลงมอบจุมพิตให้แก่’สวีเยว่’แล้วก็ ยกมือหันร่างของ’สวีเยว่’ให้เธอหันหน้าจับต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆไว้ แล้วก็ปลดเข็มขัดกางเกงของตัวเองลงก่อนที่จะดึงชายกระโปรงของ’สวีเยว่’ขึ้น….(เซ็นเซอร์) …..

“ตุ้บ!”

‘หลิ่วอิง’ยกกำปั้นทุบพื้นเสียงดังสนั่นเต็มไปด้วยทั้งความแค้นและความอับอาย

“แกมันผู้หญิงชั้นต่ำ! สวีเยว่ แกมันสำส่อน!”

‘สวีเยว่’หลับตาพริ้มเต็มไปด้วยอารมณ์ก่อนจะส่งเสียงขึ้นจมูกพ่นลมหายใจใส่’หลิ่วอิง’

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments