I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Zhan Long ตอนที่ 220 หลักฐานความโหดร้าย

| Zhan Long | 1391 | 2337 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

แปลโดยคุณ WildFox

//////////////////////

รอยยิ้มอันเหี้ยมเกรียมและความรู้สึกพึงพอใจในชัยชนะของตัวเองผุดขึ้นที่ริมฝีปากของ’หวังจือเฉิง’ขณะที่จ้องมองไปยัง’หลิ่วอิง’และพูดว่า

“ หลิ่วอิง บุตรชายของประธานกลุ่มบริษัทเฟิงหลิงแห่งหางโจว ซึ่งมีมูลค่ารวม 1.2 พันล้านหยวน! แกรู้จักอันดับของแกหรือเปล่า หา? กลุ่ม บูสเทอร์น่ะมีราคามากกว่าบริษัทกิ้กก้อกของพ่อแกเป็น 100 เท่า! แกมันก็แค่มดปลวกที่ชั้นจะบดชยี้เมื่อไหร่ก็ได้ถ้าต้องการ”

กรามของ’หลิ่วอิง’แทบจะแหลกละเอียดเมื่อเขาบดมันด้วยความโกรธแค้น ดวงตาแทบเป็นสีเลือดเมื่อเขาจ้องมองไปยัง’สวีเยว่’

“นังร่าน แกมันนังร่าน….”

‘สวีเยว่’มองดู’หลิ่วอิง’ด้วยสายตาว่างเปล่าไร้หัวใจตอบเบาๆว่า

“เธอไม่ใช่เคยพูดไว้เหรอว่า ผู้หญิงบางคนก็เพียงต้องการแค่ความรัก ขณะที่ผู้หญิงบางคนก็เพียงแต่ต้องการแค่ความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น และชั้นก็จัดอยู่ในประเภทหลังนี้ไม่ใช่เหรอ? ที่นี้นายก็ได้ข้อพิสูจน์แล้วไง ว่าชั้นไม่ได้รักเธออย่างแท้จริง?!”

‘หลิ่วอิง’พึมพัมอย่างอ่อนล้าว่า

“นังร่าน แกมันนังร่าน…”

‘หวังจือเฉิง’อดที่จะหัวเราะอย่างเย็นชาไม่ได้ เขาโน้มตัวลงและพูดว่า

“หลิ่วอิง แกยอมรับซะเถอะว่าแกน่ะมันไม่คู่ควรจะมีเรื่องกับชั้น การกลับมาเมืองจีนครั้งนี้ ชั้นมาเพื่อพิชิตทุกอย่าง และสวีเยว่ก็เป็นเพียงผู้หญิงคนแรกที่ชั้นสอยมาได้ ส่วนผู้หญิงที่คนอย่างชั้น หวังจือเฉิงคนนี้หมายปองไว้น่ะรึ ก็ต้องเป็น หลินว่านเอ๋อ อย่างไม่ต้องสงสัย คอยดูเถอะชั้นจะฟาดเธอให้ได้ในอีกไม่ช้านี้….”

‘หลิ่วอิง’ยันกายลุกขึ้นด้วยกำลังที่เหลือแล้วก็เหวี่ยงหมัดของเขาออกไปทันที แต่ก็ถูกบอดี้การ์ดของ’หวังจือเฉิง’ ยกเท้ายันโครมเข้าให้ที่ท้องจนกลิ้งเป็นลูกขนุนกลับลงไปนอนโอดโอยเหมือนเดิม!

‘เสี่ยวจู’ผู้ซึ่งใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดนอนกองอยู่ที่พื้น พยายามส่งเสียงเตือน’หลิ่วอิง’ว่า

“หัวหน้าอย่าไปสู้กับพวกมันเลย ! พวกเราสู้มันไม่ไหวหรอก ไอพวกบ้านี่มันเป็นตัวประหลาด….”

‘หลิ่วอิง’ไม่สนใจคำเตือนนั้นพยายามลุกขึ้นใหม่และคำรามพร้อมกับพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง ผลก็คือโดนเตะเข้าที่ยอดหน้า ส่งให้ตัวเขาลอยกลับไปพร้อมกับโลหิตที่ไหลออกจากปากเป็นสาย ……..

“ฟวั่บ!”

เสียงของอะไรบางอย่างที่ตัดผ่านอากาศต่อหน้าต่อตาของบอดี้การ์ดคนนั้น ผู้ซึ่งกำลังจะเข้าไปซ้ำ’หลิ่วอิง’เป็นครั้งที่สาม แต่ก่อนที่จะเข้าถึงตัว ก็ถูกขัดจังหวะซะก่อนด้วยมือที่ไม่รู้โผล่มาตอนไหน ตามมาด้วยเสียง

“กร๊อบ”

แขนของบอดี้การ์ดคนนั้นหักเป็นสองท่อน ก่อนจะแถมด้วยลูกเตะเข้าที่ท้องให้อย่างถนัดถนี่ แรงขนาดส่งมันกลิ้งไปกองที่พื้นหญ้า

“ใครมันกล้าเข้ามาสอดวะ?!”

‘หวังจือเฉิง’ส่งสายตาเย็นชาจ้องมองมาที่ผม ผมยืนชกลมเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า

“หวังจือเฉิง ผมได้ยินมาว่า นายกำลังคิดจะทำมิดีมิร้ายกับหลินว่านเอ๋อใช่ไหมหรือว่าผมหูฝาดไป? ถ้านายพูดอย่างนั้นจริงละก็ ผมเกรงว่านายจะไม่ได้เห็นตะวันขึ้นตอนพรุ่งนี้ซะแล้วละนะ !”

“หลี่เซียวเหยา! เป็นแกเองจริงๆด้วย!”

‘หวังจือเฉิง’หันหน้ามาประจันพลางสั่งลูกน้อง

“เด็กๆ เก็บมัน!”

บอดี้การ์ดในชุดดำทั้งสี่คนก็พุ่งเข้าจู่โจมผมในทันที! เสียงกำปั้นแหวกอากาศมาได้ยินชัดเจน ในขณะที่ผมชิงจังหวะโยกหลบด้วยหัวไหล่ราวกับผีเสื้อ ก่อนจะส่งหมัดลุ่นๆไม่มีรูข้างขวาคืนให้ไปเป็นการตอบแทน แต่ก็ต้องดึงตัวไว้เมื่อหมัดของบอดี้การ์ดอีกคนพุ่งเข้ามา นึกไม่ถึงว่าหมัดขวาจะรู้สึกชาเล็กน้อย นี่ขนาดผมใช้กำลังไปถึง 30%ซึ่งปกติสามารถที่จะล้มคนธรรมดาทั่วๆไปได้อย่างสบายๆ!

ต้องรีบเร่งเร้าปราณเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดกระแสลมแกร่งพัดขึ้นรอบตัวบอกให้รู้ว่าพลังของผมเพิ่มมาเป็น  50% แล้ว! ผมยกกำปั้นทั้งสองขึ้นสูงและก้มตัวลงต่ำ ก่อนจะมีเสียง

“ผลั่วะ ผลั่วะ”

อันเกิดจากหมัดกระทบเนื้อก่อนจะส่งพลังเข้าไปหักกระดูกของบอดี้การ์ดคนนั้นปลิวไปตามแรงหมัด จังหวะนั้นเอง คนชุดดำอีกสองคนก็พุ่งเข้ามาเหวี่ยงหมัดใส่ผมทันที

“ กร๊อบบบ…!”

ผมรีบใช้ขาขวาเตะกวาดเสียงดังฟังชัด ตวัดให้ขาของคนชุดดำทั้งสองคนนั้นลอยจากพื้นก่อนจะล้มไปหงายท้องแอ้งแม้ง เดาเอาจากเสียงโอดโอยของพวกมันว่ากระดูกหัวเข่าน่าจะแตกไปแล้ว เสียงร้องระงมโอดโอยด้วยความเจ็บปวดของบอดี้การ์ดทั้งหมดที่กลิ้งไปมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวด

‘หวังจือเฉิง’ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษขณะที่มองมาที่ผมด้วยสายตาตื่นกลัว

“ผมจะถามอีกครั้งนึง นายกำลังคิดที่จะทำมิดีมิร้ายกับหลินว่านเอ๋อใช่ไหม?”

ผมถามด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ ‘หวังจือเฉิง’หัวเราะแฮะๆเบาๆตอบว่า

“ชะ… ชั้นแค่อยากจะจีบเธอแค่นั้น”

“คนอย่างนายมันต่ำช้า ไม่เหมาะจะคู่ควรกับเธอหรอก”

“ชิ! ถ้างั้นก็?”

‘หวังจือเฉิง’ไม่พูดต่อแต่ถกแขนเสื้อขึ้นก่อนจะเหวี่ยงหมัดใส่ผมเต็มแรงกะจะต่อยหน้าอกของผมเต็มที่ แต่ก่อนที่หมัดนั้นจะถูกเป้า ผมก็สวนกลับด้วยหมัดที่มีพลัง 50% ของผมทันทีต่อยมาต่อยกลับไม่โกง!

“ตูมม!”

ผมรู้สึกชาไปทั้งแขนด้วยแรงปะทะจากกำปั้น ส่วนร่างของผมยังยืนอยู่ที่เดิม ผิดกับ’หวังจือเฉิง’ ที่ตัวปลิวลอยละลิ่วไปไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหากไม่ได้ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังที่เขาลอยไปชนเบรคไว้ให้ เสื้อผ้าของเขากระจุยกระจายด้วยแรงทำลายที่ระเบิดออกจากพลังภายในใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยความเจ็บปวดค่อยๆพูดว่า

“หลี่เซียวเหยา กะ…แกแน่มาก  แกแน่จริงๆ คอยดูเถอะ แกจะต้องเสียใจเพราะเรื่องในวันนี้…”

หลังจากพูดจบเขาก็หันกลับล้มลุกคลุกคลานหนีเข้าไปในป่า ……..

“หลี่เซียวเหยา…..”

‘หลิ่วอิง’นอนหมดแรงอยู่กับพื้น จ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาอับอาย

“ขอบใจ….. ขอบใจนายมาก….”

ผมตวัดสายตามองที่เขาและพูดว่า

“ผมไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อช่วยนายหรอกนะ หลิ่วอิง นายมันน่าสมเพชมากพออยู่แล้ว นี่แหละ ราคาที่นายต้องจ่าย หากทำเป็นเล่นกับความรู้สึกของใครสักคน”

‘หลิ่วอิง’หัวเราะเยาะสมน้ำหน้าตัวเองและพูดว่า

“ลืมมันซะเถอะ และช่วยหยุดถากถางชั้นซักทีได้ไหม…”

จังหวะนั้น ‘เสี่ยวจู’ ก็รีบวิ่งเข้ามาประคองและช่วยพยุง’หลิ่วอิง’ขึ้นพร้อมกับพูดว่า

“หัวหน้า พวกเราไปโรงพยาบาลกันก่อนเถอะ ส่วนไอพวกบอดี้การ์ดของหวังจือเฉิงละครับเอายังไงดี?”

“ช่างหัวมันสิ….”

‘สวีเยว่’เอนตัวไปพิงต้นวิลโลวไว้ขณะที่มองมายังพวกเราด้วยสายตาเย็นชาปานน้ำแข็ง พลันหัวเราะขึ้นและพูดว่า

“หลิ่วอิง นายคาดไม่ถึงละสิว่าจะมีวันนี้มาถึงจนได้?”

‘หลิ่วอิง’เพียงแค่พ่นลมหายใจทางจมูกและปล่อยให้’เสี่ยวจู’พยุงเขาพาร่างของทั้งสองค่อยๆเดินห่างไปจากเธอ ตอนนั้นเองที่มือถือของผมก็ดังขึ้น ปรากฏว่าเป็นเบอร์ของ’หลินว่านเอ๋อ’นั่นเอง

“โหล หลี่เซียวเหยา นายมัวทำอะไรอยู่….ทุกคนมารอนายกันพร้อมแล้วนะ….”

“โอ้ ผมกำลังจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ พอดีว่าผมกำลังจัดการอะไรบางอย่างอยู่….”

“รีบๆมาไวๆเลย อย่าทำพวกเราเสียเวลาสิ…”

“ครับผมๆ…”

ก่อนที่ความคิดของผมจะเตลิดไปมากกว่านี้ ผมควรรีบกลับเข้าหอพักชายและกลับเข้าเกมทันทีดีกว่า เรื่องบาดหมางระหว่าง’หวังจือเฉิง’และ’หลิ่วอิง’เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยคิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลยแต่มันก็เกิดขึ้นจนได้ ตอนนี้ไม่มีเรื่องไหนจะดีไปกว่าการกลับไปช่วยเพื่อนๆเคลียร์แมพต่อไปในเกมส์ ดีกว่าเอาสมองมาคิดเรื่องพรรค์นั้น

เพราะยังไงก็ตาม ไม่มีทางที่’หวังจือเฉิง’จะกล้าย่างกรายไปทางหอพักนักศึกษาหญิงได้ในตอนกลางคืนเป็นอันขาด คนของท่าน’หลินเทียนหนาน’ที่ประจำการอยู่นั้นล้วนแต่เป็นทหารรับจ้างมืออาชีพที่ผ่านสมรภูมิรบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ไม่มีทางที่พวกเขาจะพ่ายแพ้ให้กับบอดี้การ์ดของ’หวังจือเฉิง’แน่นอน

“วูบ!”

ในเมืองปาฮวง ผมรีบจัดการซ่อมแซมอุปกรณ์ทั้งหมดและไปซื้อน้ำยาเลเวล 6 เก็บตุนไว้แล้วเดินไปยังจุดนัดพบที่บริเวณสะพานด้านทิศเหนือของเมือง ซึ่งพบกับคนอื่นๆที่รอผมอยู่ที่นั่นแล้ว

“โย่ว…”

‘ตงเฉิงเยว่’หันศีรษะของเธอมาทักทายพร้อมกับมองไปที่ไหล่ของผมจึงส่งยิ้มมาพร้อมกับคำพูดว่า

“ยินดีด้วยน๊า…นายผ่านอาชีพขั้นที่สามแล้วสิเนี่ยะ หือ? ผู้เฝ้ามองรัตติกาลแห่งป้อมมังกร โอ้วนายไม่ได้เป็นคนเก็บขยะหรือว่าสัปเหร่อแล้วนี่นะ…”

‘หลินว่านเอ๋อ’พูดขำๆว่า

“งั้นนายก็ได้เป็นผู้เฝ้ามองรัตติกาลแล้ว ตำแหน่งน่าจะสูงกว่าผู้เก็บกวาดหรือว่าผู้เฝ้าสุสานละนะ…”

ดวงตาคู่งามของ’เยว่ชิงเฉียน’เต็มไปด้วยประกายตื่นเต้นถามว่า

“พี่เซียวเหยาคะ มีสกิลอะไรใหม่ๆจ๊าบๆที่พี่เรียนแล้วบ้างไหมคะ?”

ผมพยักหน้ารับ ‘มัตชะ’กระพือปีกของเธอมาและพูดว่า

“ถ้างั้นหัวหน้าลองแสดงให้พวกเราชมหน่อยสิคะ พวกเรายังไม่เคยมีโอกาสได้เห็นสกิลของอาชีพนักดาบขั้นที่สามเลย!”

“ได้สิ ถ้างั้นก็…..”

ด้วยการยกมือขึ้นไปด้านหน้าปลดปล่อยดาบของผมออกมาจากฝักซึ่งพลันเปลี่ยนเป็นเงาดาบสามสาย【โลกาสิ้นสูญ】ก็พร้อมทำงาน เมื่อผมเล็งไปที่สายน้ำที่เป็นคูเมืองแล้วกำหมัดแน่น เงาดาบทั้งสามสายที่แผ่รังสีแห่งความตายบางๆก็พุ่งเข้าตัดกระแสน้ำจนแยกออกเป็นเจ็ดส่วนลึกถึงก้นคูเมืองมองเห็นได้อย่างชัดเจน

มันช่างเป็นสกิลที่น่าตื่นตาตื่นใจเสียจริงๆ จากนั้นก็ตามด้วยการเรียกใช้สกิล【เพลิงแค้น】แล้วกุมด้ามดาบไว้แน่นอีกครั้ง เสียงดัง “ฟุ่บ”เบาๆเมื่อจับที่ด้ามดาบทั่วทั้งร่างและดาบถูกฉาบไว้ด้วยพลังปราณ ก่อนจะทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วประมาณ 5 เมตรทำให้เศษของกำแพงเมืองที่ถูกแรงทำลายกระเด็นกระดอนไปพร้อมกับทิ้งรอยดาบลากเป็นทางยาวลึกลงไปในพื้นดิน

สาวๆในกลุ่มต่างพากันเบิ่งตากว้างมองดูอย่างตกตะลึง ในขณะที่ลืมตัวอ้าปากค้างขนาดที่เอาวาฬสีน้ำเงินเข้าไปว่ายน้ำในนั้นได้ทั้งตัว! หลินว่านเอ๋อถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยออกมาในที่สุดว่า

“ว้าว นั่นมันสกิล【ฟันพริบตา】ในตำนานใช่ไหมเนี่ยะ? ฉันเคยได้ยินมาว่ามันเป็นสกิลที่จู่โจมกระทันหัน แถมยังมีโอกาสใช้สังหารศัตรูในเปอร์เซนต์ที่สูงด้วย เป็นความจริงใช่ไหม? อาชีพนักดาบในช่วงท้ายเกมส์เป็นอาชีพที่มีพลังโจมตีกายภาพแข็งแกร่งที่สุด และบรรดานักดาบขั้นที่สามทั้งหลายก็จะใช้ 【ฟันพริบตา】เป็นสกิลหลักนำในการทำลายรูปแบบการโจมตีของฝ่ายศัตรู”

ผมผงกศีรษะรับตอบว่า

“ใช่แล้วครับ สกิล【ฟันพริบตา】นี้น่ะมีพลังทำลายพอๆกับสกิล【คมขวานพายุหมุน】เลยทีเดียว เสียแต่ว่าระยะโจมตีของมันสั้นกว่า แต่ถ้าหากนักดาบหลายๆคนใช้สกิลนี้พร้อมๆกันละก็ ผลลัพธ์ที่ได้คงจะน่าพอใจไม่ใช่น้อยเลยละครับ ตราบใดที่พลังทำลายของผู้ที่ใช้สกิลมีพลังมากพอแล้วละก็ เมื่อนั้นมันก็จะใช้ฝ่าแนวป้องกันที่ตั้งรับด้วยโล่ของศัตรูได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว”

‘หลินว่านเอ๋อ’พยักหน้าสวยหงึกหงักๆน่ารักไปอีกแบบ พูดว่า

“ไม่เลว ไม่เลวเลย~”

ผมมองไปยัง’ตงเฉิงเยว่’แล้วถามว่า

“ตงเฉิง ก็เปลี่ยนเป็นอาชีพขั้นที่สามแล้วนี่ สายเวทย์มีสกิลอะไรแจ่มๆมั่งไหมล่ะ?”

“อืม ก็มีนะขอดูแป้บ….”

‘ตงเฉิงเย่ว์’ยิ้มด้วยประกายตาซุกซนแล้วตอบว่า

“สกิล【เกราะมานา】ของพวกเราแข็งแกร่งขึ้น แล้วก็มีสกิลโจมตีเป้าหมายเดียวที่ชื่อว่า【ศรทะเลคราม】ด้วยการเรียกลูกศรน้ำแข็งไปทำลายเป้าหมาย เป็นสกิลที่มีพลังทำลายสูงมากสำหรับเป้าหมายเดียวและก็สกิลสุดท้ายที่ฉันชอบเป็นพิเศษโดยส่วนตัว…”

“หือ? ทำไมถึงชอบสกิลนั้นเป็นพิเศษล่ะ?”

“มาลองเองดีกว่าไหม? ฮิฮิ?”

‘ตงเฉิงเย่ว์’กระดิกนิ้วเรียกด้วยอาการเย้าแหย่และพูดว่า

“เซียวเหยาลองไล่จับฉันดูสิ ถ้านายจับฉันได้ ฉันจะมอบจุมพิตให้เป็นรางวัล…”

ผมทำปากยื่นท่าทางเซ็งๆ

“นั่นมันเรียกว่ารางวัลแล้วเหรอ? เอางี้ดีกว่าถ้าผมจับเธอได้ขอเปลี่ยนเป็นเงินซัก 1000 หยวนค่อยน่าสนใจหน่อย..”

‘ตงเฉิงเยว่’ทำหน้าตาหมั่นไส้แล้วพูดว่า

“ตาเบื้อกเอ้ย ! แค่จูบฉันเนี่ยะจะตายหรือไงหา! ก็ได้ๆ 1000หยวนก็1000หยวน ถ้านายจับฉันได้ภายใน 5 วินาทีละก็ ฉันจะจ่ายให้นาย 1000หยวน!”

“จัดไปอย่าให้เสีย!”

ผมจัดแจงถูมือไปมาทำท่าจริงจังขึ้นมาทันที เมื่อมีเรื่องเงินๆทองๆมาเกี่ยวข้อง ยกมือขึ้นเพื่อร่ายสกิล【เร่งความเร็ว】เลเวล 6ใส่ตัวเองทันที พร้อมตั้งท่าทะมัดทะแมงด้วยรองเท้ารุ่งอรุณม่วงของผมเล็งตรงไปหา’ตงเฉิงเย่ว์’ จะได้คว้าตัวเธอได้ในทุกวินาที ก่อนจะยื่นมือไปหมายจะจับที่ไหล่ของ’ตงเฉิงเย่ว์’ในทันที!

“หมับ!”

“MISS!”

ร่างของ’ตงเฉิงเย่ว์’พลันหายไปต่อหน้าต่อตาแล้วไปปรากฏขึ้นอีกที่หนึ่งห่างออกไปประมาณ 7 เมตร ผมใช้เท้าเป็นจุดหมุนตัวกลับหลังหันไปยังทิศทางนั้นพร้อมกับกางแขนหมายที่จะจับเธอให้อยู่หมัดในคราวนี้!

“MISS !”

อีกครั้งที่ร่างของ’ตงเฉิงเย่ว์’อันตรธานหายไปแล้วก็ปรากฏที่เบื้องหลังผมห่างออกไป พร้อมทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียน

“เฮียเซียวเหยาขา จ้างก็จับหนูไม่ได้ ไม่มีทางจะได้แอ้ม 1000 หยวนของหนูละค๊า~”

เหงื่อเย็นๆไหลมาจากเหม่งบนหัวของผม นี่มันเป็นสกิลใหม่ของนักเวทย์ขั้นสามเหรอเนี่ยะ? สามารถวาปหลบได้ถึงสองครั้งติดต่อกัน, ดูสิว่าจะวาปหลบได้เป็นครั้งที่สามไหม? ลองไล่คว้าดูอีกครั้งและแน่นอน เธอวาปหลบได้อีกครั้งหนึ่ง!

“แผละ….”

ผมนั่งบนราวสะพานพลางโบกมือยอมแพ้

“ผมไม่เล่นแล้ว เราจับเธอไม่ได้ภายใน 6 วินาทีแน่เลย”

‘หลินว่านเอ๋อ’หัวเราะเบาๆมองเห็นลักยิ้มทั้งสองข้างบนแก้มนวลนั้น

“น่าอายจริงๆ นี่คือสกิลของอาชีพนักเวทย์ขั้นที่สามที่มีชื่อว่า【โดดข้ามมิติ】ที่ภายใน 30 วินาทีจะสามารถทำให้วาปหลบไปได้ติดต่อกันถึง 3 ครั้ง นายพลาดซะแล้วล่ะ….”

ผมทำปากยื่นและพูดว่า

“ครับๆ ทั้งสกิล【เกราะมานา】ที่แข็งแกร่งทำลายยากขึ้นอีกทั้งสกิล【โดดข้ามมิติ】นี่เข้าไปอีก ความปลอดภัยในชีวิตของนักเวทย์ขั้นที่สามนี่มีมากขึ้นไปกว่าเดิมขนาดนี้ ผมสงสัยจริงๆว่าจะรำคาญตัวเองตายซะก่อนหรือเปล่ากว่าจะสังหารนักเวทย์ขั้นสามได้ซักคนหนึ่ง…”

‘ตงเฉิงเยว่’ควงไม้เท้าในมือแล้วพูดว่า

“เอาล่ะ เรื่องนี้พักไว้ก่อนเถอะ อย่าเพิ่งมาหาวิธีสังหารนักเวทย์อย่างฉันซะให้ยากเลย พวกเราควรจะออกเดินทางได้ซักทีละนะ จะได้จบภารกิจให้เสร็จภายในคืนนี้เลย!”

“โอเค งั้นเคลื่อนพล!”

ในที่สุดพวกเราก็เดินทางกลับมาถึงอีกครั้งยังทางเข้าสู่อารามมังกร ซึ่งเมื่อมาถึง’หลิวชวง’ผู้ทำหน้าที่เฝ้าอยู่ก็หลีกทางให้พวกเราเข้าไปได้ และด้วยวิธีโหนโซ่เหล็กผ่านทะเลหมู่ดาวแบบเดิม

พวกเราก็มองเห็นแผนที่ส่วนที่สามได้ในที่สุด เบื้องหน้าพวกเรานั้นคือพื้นที่ส่วนที่สามของแมพอารามมังกรแห่งนี้ปรากฏอยู่พร้อมด้วยความเร็วในการเข้าไปใกล้อยู่ทุกขณะ เมื่อสังเกตดูเราพบว่าชั้นนี้มีลักษณะยังกับกะทะที่ถูกไฟเผาไม่มีผิด กลุ่มควันลอยคลุ้งออกมาทั่วบริเวณ พร้อมทั้งลาวาเดือดปุดๆมีให้เห็นกระจายไปทั่วที่รกร้าง

แม้กระทั่งก่อนที่พวกเราจะเหยียบย่างเข้าไปยังชั้นนี้ ทั้ง’เยว่ชิงเฉียน’และ’มัตชะ’ก็สำลักควันไอแค่กๆพร้อมกับบ่นว่า

“แมพนี้ทำไมมันร้อน ขนาดนี้เนี่ยะ…”

ผมสังเกตว่าแม้แต่ใบหน้าของ’หลินว่านเอ๋อ’ก็ยังพรายไปด้วยเหงื่อเม็ดเป้งเมื่อเธอหันมาพูดกับผมว่า

“ชั้นสามนี่ช่างแตกต่างจากชั้นที่แล้วราวฟ้ากับเหวเลย…”

ผมชี้มือไปยังด้านหน้าไกลๆและตอบว่า

“พวกมอนสเตอร์ก็ไม่เหมือนกับชั้นสองเช่นกันครับ…”

….. ไกลออกไปยังพื้นที่เปิดโล่งนั้น ร่างของเอล์ฟที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟพร้อมทั้งเสียงที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่ที่มันร้องนั้น นี่น่าจะเป็นมอนสเตอร์ดั้งเดิมของอารามมังกรแห่งนี้แน่ๆ ผมขยับเข้าไปอีกเพื่อตรวจสอบสเตตัสของมันแล้วก็แชร์ให้คนอื่นๆในปาร์ตี้ได้ดูกัน

【เอล์ฟอัคคี】(มอนสเตอร์ระดับมายา) เลเวล: 64

พลังเวทย์โจมตี : 1150-1500

พลังป้องกัน : 900

พลังชีวิต : 12000

สกิล : 【ควบคุมเปลวไฟ】【บอลอัคคี】【เพลิงนรก】

คำอธิบาย : เอลฟ์อัคคี คือผู้ที่ชื่นชอบเปลวไฟและสามารถบงการไฟได้อย่างอิสระ มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและการโจมตีอันเร่าร้อนของเปลวไฟ พวกมันถูกจองจำโดยมังกรไฟมาหลายพันปี ผลที่ได้จากการคุมขังทำให้พวกมันเดือดดาลไปด้วยไฟแห่งความเกลียดชังและความโหดร้าย พวกมันจัดเป็นหนึ่งในผู้เฝ้าป้องกันแห่งอารามมังกร

ที่มา:

*เงียบจริงๆคนอ่านZanlong

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments