ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“พรรคมารทลายราตรี !!”
เมื่อเห็นคำทั้งสีคำที่แดงฉานราวกับเลือดนั้น ใบหน้าของผู้นำตระกูลจื่อ พ่อแม่ของ ‘จื่อ หลิง’ หรือแม้แต่ ‘จื่อ ซวนหยวน’ ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เพราะทุกคนรู้ดีว่า พรรคมารทลายราตรี คือตัวแทนของความแข็งแกร่งในทะเลตะวันออก ในหลายปีก่อนนั้น ไม่มีใครที่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ แม้แต่ในปัจจุบันนั้น หมู่เกาะประหารเองก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้เช่นกัน
พรรคมารทลายราตรีเปรียบได้กับดวงตะวันยามเที่ยงที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสรรพสิ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงความแข็งแกร่งของประมุขพรรค เพียงแค่สีปราการของพรรค พวกเขาก็พลังเทียบได้กับเหล่าผู้นำของขุมอำนาจอื่นๆ
พรรคมารทลายราตรีคือขุมพลังอันดับหนึ่งของทะเลตะวันออก และไม่มีขุมพลังใดที่จะกล้าท้าทายพวกเขา
จนกระทั่งวันหนึ่ง ประมุขพรรคพรรคมารทลายราตรีได้เสียชีวิตลง สี่ปราการได้ต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงตำแหน่งประมุขพรรค จนทำให้พรรคมารทลายราตรีได้แตกออกเป็นหลายส่วน จนในที่สุดพรรคมารที่ตั้งอยู่กว่าพันปีก็จางหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพรรคมารทลายราตรีจะหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ แต่ทุกๆ คนก็ยังคงรู้ดีว่า พรรคมารทลายราตรีคือ ขุมพลังที่น่ากลัวที่สุดของทะเลตะวันออก
ภายในเขตทะเลตะวันออกนั้น ไม่มีขุมอกนาจใดกล้าติดตามทำลายล้างพรรคมารทลายราตรี เพราะพวกเขาหวาดกลัวต่อการกลับมาล้างแค้น
แม้แต่ในปัจจุบันนั้น ก็ไม่มีใครกล้าที่จะทำให้พรรคมารทลายราตรีต้องโกรธแค้น แม้แต่ขุมกำลังที่แข็งแกร่งเองก็เช่นกัน แม้ว่าสี่ปราการของนิกายจะขัดแย้งกันเอง แต่หากพวกเขาร่วมมือกันนั้น ก็ไม่มีขุมพลังใดสามารถต้านทานพวกเขาได้
และเมื่อชายชราชุดคลุมสีดำผู้นี้ ได้แสดงพลังที่แข็งแกร่งออกมาเช่นนี้นั้น ย่อมหมายความว่า เขาไม่ใช่สมาชิกทั่วๆ ไปของพรรคมารทลายราตรีอย่างแน่นอน
***** ฝุ่บบบบ *****
ผู้ตระกูลจื่อ คุกเข่าลงกัยพื้นอากาศต่อหน้าชายชราชุดคลุมสีดำ พร้อมกับประสานมือขึ้นคาราวะ และกล่าวออกมาว่า
“ข้ามีตาหามีแววไม่ ผู้อาวุโส ข้าไม่ทราบว่าท่านคือคนของพรรคมารทลายราตรี ผู้อาวุโส ได้โปรดอภัยให้กับตระกูลของข้าด้วย”
“ผู้อาวุโสโปรดเมตตา !! ผู้อาวุโสโปรดเมตตา !!”
ในเวลานั้น พ่อแม่ของ ‘จื่อ หลิง’ ก็คุกเข่าลงกับอากาศ และกล่าวขออภัยจากชายชราชุดคลุมสีดำ
เมื่อเห็นพ่อแม่ และผู้นำตระกูลของตัวเองทำเช่นนั้น ‘จื่อ หลิง’ ขมวดคิ้วแน่น แววตาของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจ
นางไม่เคยคิดเลยว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่แข็งแกร่งนั้น คนจากตระกูลของนางจะทำเช่นนี้ เพราะเมื่อพวกเขาอยู่ต่อหน้าผู้ที่อ่อนแอกว่า พวกเขาจะแสดงออกถึงพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ และเผด็จการ แต่เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาที่มีอยู่ พวกเขาก็ไม่แสดงมันออกมา
อาจกล่าวได้ว่า ในตอนนี้ ‘จื่อ หลิง’ ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อตระกูลของนาง แต่มันเป็นความรู้สึกรังเกียจอย่างชัดเจน
“หืม…..ขยะก็ยังคงเป็นขยะ จงใช้ชีวิตของพวกเจ้าเยี่ยงขยะต่อไป”
“ไม่ต้องกลัวไป ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าไม่มีค่าพอ ที่จะตายด้วยมือของข้า”
“เมื่อเห็นสุนัขที่จงรักภักดีต่อหมู่เกาะประหารเช่นนี้ ข้าจะบอกพวกเจ้าไว้สักอย่าง อย่าได้คิดว่าหมู่เกาะปะหารจะแข็งแกร่งไปได้ตลอด เพราะภายในเขตทะเลตะวันออกนั้น มีขุมพลังอำนาจอีกมากที่สามารถจัดการพวกมันได้”
“ไปซะ พูดกับสวะอย่างพวกเจ้า มันทำให้ข้าเสื่อมเสียเกียรติของข้า”
ชายชราสวมชุดคลุมสีดำ กล่าวอย่างเย็นชา พลันสภาพโดยรอบก็กลับไปเป็นอย่างเดิม พร้อมๆ กับที่ชายชราคนนั้นหายตัวไป
“ท่านผู้นำ ผู้เฒ่าคนนั้นได้จากไปแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาน่ากลัวมาก เป็นไปได้ว่าวิหคเพลิงศิกดิ์สิทธิ์จะถูกสังหารโดยเขา หรือบางทีเขาอาจจะเป็น…….”
พ่อของ ‘จื่อ หลิง’ กล่าวออกมาด้วยความหวาดกลัว
หลังจากนั้น ผู้นำตระกูลจื่อก็ยืนขึ้น เขาไม่ได้กล่าวตอบแต่อย่างใด หลังจากปาดเหงื่อบนหน้าผากออกนั้น เขาหันไปกล่าวกับแม่ของ ‘จื่อ หลิง’ ว่า
“รีบออกจากที่นี่ และกลับไปยังเขตทะเลตะวันออกให้เร็วที่สุด”
ในขณะนั้น ‘ชูเฟิง’ ไม่ได้รับรู้ถึงสนาการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ตระกูลของ ‘จื่อ หลิง’ ในเวลานั้นเขายืนอยู่บนหอคอยไร้ตัวตน ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความสับสน
‘ชูเฟิง’ ไม่สามารถเข้าใจได้ถึงพลังของหมู่เกาะประหาร จากที่เขาได้รับฟังมานั้น หมู่เกาะประหารคือขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของทะเลตะวันออก แม้แต่ตระกูลจื่อ ที่แข็งแกร่งยังให้ความเคารพแก่พวกเขา ดังนั้น ‘ชูเฟิง’ จึงไม่สามารถจินตนาการถึงความแข็งแกร่งของหมู่เกาะประหารได้
เวลาสี่ปีมันสั้นเกินไป หากเขาต้องเผชิญหน้ากับขุมพลังที่แข็งแกร่งเช่นนั้น ในอนาคตแม้ว่าเขาจะแกร่งขึ้น แต่โอกาสที่เขาจะชนะก็ยังคงห่างไกลอีกมาก เขาจะทำทุกๆ อย่างเพื่อแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าความหวังจะน้อยนิดเพียงใด เขาก็จะคว้าโอกาสนั้นมา
“ชูเฟิง เจ้าเป็นอะไรไหม !?”
จู่ๆ เสียงของ ‘จาง เทียนยี่’ ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมานั้น เขาก็พบกับ ‘ฉี เฟิงหยาง’ , ‘เจียง เฮิงหยวน’ , ราชาวานร และคนอื่นๆ กำลังขึ้นมาบนหอคอยไร้ตัวตน พวกเขากล่าวถาม ‘ชูเฟิง’ ด้วยความกังวล
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามของทุกๆ คนนั้น ‘ชูเฟิง’ ก็กล่าวตอบออกไปอย่างไม่ปิดบัง
เมื่อพวกเขารู้เรื่องราวของ ‘ชูเฟิง’ นั้น พวกเขาต่างบอกให้ ‘ชูเฟิง’ ลืมเรื่องของ ‘จื่อ หลิง’ ไป เพราะการที่จะต้องเผชิญหน้ากับขุมพลังที่แข็งแกร่งเช่นนั้น แทบจะไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย และการลืมเรื่องราวบอง ‘จื่อ หลิง’ จะทำให้ ‘ชูเฟิง’ นั้นเจ็บปวดเพียงเวลาสั้นๆ ไม่ต้องจมไปกับความทรมานที่แสนยาวนาน
‘ชูเฟิง’ เพียงยิ้มตอบบางๆ เท่านั้น เขารู้ดีว่าทุกๆ คนต่างหวังดีกับเขา แต่เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว และจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด
แต่เขาก็รู้ดีว่า ‘จื่อ หลิง’ เป็นคนเช่นไร นางนั้นจะทำตามที่นางกล่าวอย่างแน่นอน ดังนั้น อีกสี่ปีข้างหน้า ไม่ว่าเขาจะอ่อนแอขนาดไหน เขาก็ยังต้องไปที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นการส่งตัวเองไปตายก็ตาม เพราะเขาจะไม่ยอมให้ ‘จื่อ หลิง’ ต้องตายเพื่อเขา
ถึงแม้ว่าอนาคตจะยังไม่แน่นอนนั้น ‘ชูเฟิง’ ยังคงมีความหวังอยู่ ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นใด แต่เป็นเพราะ สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายของเขา
ถึงแม้ว่าความต้องการของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จะมีมาก และนั่นทำให้ ‘ชูเฟิง’ ต้องปวดหัวอยู่บ้าง แต่ตราบใดที่เขามีทรัพยากรเพียงพอ ด้วยพลังของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์นั้น ก็สามารถทำให้เขาเพิ่มการบ่มเพาะพลังขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
และในตอนนี้ สุสานจักรพรรดิ์คือความหวังอย่างแท้จริง ด้วยพลังของไข่มุกทั้งสองที่ ‘ชูเฟิง’ ประสบมานั้น ‘ชูเฟิง’ ก็คาดหวังว่าภายในสุสานจะมีสมบัติที่ทรงพลังอื่นๆ อีก
หลังจากนั้นไม่กี่วัน จักรพรรดิ์ราชวงศ์เจียได้มายังอาณาจักรมังกรฟ้า และมาที่สำนักไร้ตัวตน พร้อมกับกองทัพของราชศ์เจียงที่แข็งแกร่ง
พวกเขาล้วนมีพลังเช่นเดียวกับ ‘เจียง เฮิงหยวน’ คือมีพลังระดับเจ็ด ขั้นแดนสวรรค์ ซึ่งมีอยู่เก้าคน ที่มีพลังทัดเทียมกับอัจฉริยะ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้ฝเก้าอาณาจักร ‘กู๋ เทียนเซิน’
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ความแข็งแกร่งของราชวงศ์เจียงนั้นยอดเยี่ยมมาก ภายในเก้าอาณาจักรนั้น ราชวงศ์เจียงคือขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุด
..
: ใครมันจะเก่งเกินหน้าเกินตาคนที่เกี่ยวข้องกับบักเฟิง
: แต่พี่เฟิงเรายังไม่รู้เรื่องเลย คิดว่าหมู่เกาะประหารเก่งสุดซะงั้น!!!
: โทรไปบอกพี่เฟิงสิ
– : มืงเอาเบอร์มันมาดิ!!!
: . . . . . . . . . . .
ที่มา: