ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปหลังจากที่ได้ยินคำกล่าวของ องค์จักรพรรดิ์ ใบหน้าของอดีตผู้นำของสี่มหาอำนาจ ที่เคยเป็นสีขาวซีด ก็ดีขึ้นอย่างมาก
แม้ว่าจำนวนลูกแก้วแก่นวิญญาณ ห้าล้านลูกจะเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของ ลูกแก้วแก่นวิญญาณสิบล้านลูก แต่นั่นก็เป็นทรัพย์ของพวกเขาทั้งหมดที่รวบรวมมาโดยบรรพบุรุษของพวกเขากว่าพันปี
หากพวกเขาต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติกว่าพันปีของพวกเขา การเดินงานต่างๆ ของสี่มหาอำนาจจะต้องหยุดชะงักลงทันที และนั่นก็ทำให้พวกเขาสิ้นเนื้อประดาตัวอย่างแท้จริง
แต่นี่ คือคำกล่าวขององค์จักรพรรดิ์ ภายใต้สถาการณ์เช่นนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเจ็บใจ ที่ถูกขูดเลือดขูดเนื้อ แต่ก็ดีกว่าการที่พวกเขาจะถูกกวาดล้างอย่างแน่นอน
หลังจากคำกล่าวของ องค์จักรพรรดิ์นั้น ราชาวานรจึงได้รู้ว่า สี่มหาอำนาจไม่ได้มั่งคั่งมากมายนัก เขาไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เขายิ้มบางๆ พลางกล่าวออกมาว่า
“หากเจ้ากล่าวเช่นนั้น ข้าจะไว้หน้าเจ้าสักครั้ง”
“สำนักหยวนกัง , นิกายไป๋ , หุบเขาไร้ใจ และสำนักเทพอัคคี พวกท่านจงนำลูกแก้วแก่นวิญญาณห้าล้านมา ส่วนตระกูลเจี่ย จงนำลูกแก้วแก่นวิญญาณมาสิบล้านลูกมา”
“อะไรนะ !! สิบล้านลูก !! ฆ่าข้ายังดีกว่า !!”
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น ‘เจ่ย ชิงเผิง’ แทบจะกระอักเลือดออกมาทันที ถึงแม้ว่าตระกูลเจี่ยจะมีความมั่งคั่งมากกว่าสี่มหาอำนาจ แต่ถ้าหากเขาต้องเสียลูกแก้วแก่นวิญญาณสิบล้านเม็ด พวกเขาก็จะไม่เหลืออะไรเลย
หากสูญเสียทรัพยากรจำนวนมากเช่นนั้น ตระกูลเจี่ย ก็จะสูญเสียรากฐานสำหรับคนรุ่นใหม่ของตระกูลไป และในอนาคตตระกูลเจี่ยจะต้องสูญเสียอำนาจไปอย่างสิ้นเชิง โดยไม่อาจเทียบเคียงได้กับนิกายโลกวิญญาณหรือขุมอำนาจอื่นๆ
“เจี่ย ชิงเผิง เจ้าจะยอมเสียลูกแก้วแก่นวิญญาณสิบล้านลูก เพื่อปกป้องตระกูลของเจ้าหรือไม่”
องค์จักรพรรดิ์ กล่าวถาม ‘เจี่ย ชิงเผิง’ เสียงดัง
“องค์จักรพรรดิ์ ข้าต้องการปกป้องตระกูลของข้า”
แม้ว่า ‘เจี่ย ชิงเผิง’ จะไม่เต็มใจนัก แต่สถานการณ์ในตอนนี้ เขาก็ไม่อาจควบคุมได้
เหตุผลนั้นง่ายมาก ถึงแม้ว่าตระกูลเจี่ยจะสูญเสียความมั่งคั่งของตระกูลไป และนั่นอาจทำให้ตระกูลเจี่ยเข้าสู่สภาวะถดถอยไปกว่าร้อยปี แต่นั่นก็ย่อมดีกว่าการที่ตระกูลของเขาถูกกวาดล้าง ซึ่งนั่นจะทำให้ตระกูลเจี่ย ไม่เหลืออะไรเลย ดังนั้นเขาจึงไม่เหลือตัวเลือกมากนัก
หลังจากคำยืนยันของ ‘เจี่ย ชิงเผิง’ นั้น ราชาวานรได้ตั้งเงื่อนไขขึ้นมาหนึ่งข้อ นั่นคือ ภายในสิบวันเขาจะต้องได้เห็นลูกแก้วแก่นวิญญาณสามสิบล้านลูก
ตระกูลเจี่ย และสี่มหาอำนาจ ได้ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้าย พวกเขาจะต้องสูญเสียลูกแก้วแก่นวิญญาณรวมสามสิบล้านลูก พวกเขาจะต้องขายทรัพย์สมบัติของพวกเขาออกมา และการจะทำเช่นนั้นมันก็ต้องใช้เวลามาก
นั่นคือสถานการณ์ปกติ แต่ในตอนนี้ พวกเขาจะต้องนำลูกแก้วแก่นวิญญาณ มาให้กับราชาวานรภายในสิบวัน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพวกเขา
ในสถานการณ์เช่นนี้ ราชวงศ์เจียงจึงเสนอตัว ในการจ่ายลูกแก้วแก่นวิญญาณทั้งสามสิบล้านลูก แก่ราชาวานรให้ก่อน
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ในอนาคต ตระกูเจี่ย และสี่มหาอำนาจจะต้องนำลูกแก้วแก่นวิญญาณทั้งสามสิบล้านลูกมาคืนแก่ราชวงศ์เจียง
ทางด้านราชาวานรเองนั้น เขาไม่ได้มีความกังวลตั้งแต่แรก หากเขาได้รับลูกแก้วแก่นวิญญาณครบตามจำนวนอย่างถูกต้อง เขาก็ไม่มีปัญหาใดๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด
ดังนั้น’ราชาวานร’ , ‘ชูเฟิง’ , ‘จื่อ หลิง’ , ‘จาง เทียนยี่’ และ ‘กู๋ เทียนเซิน’ จึงได้รับเชิญจากราชวงศ์เจียง ให้ไปรับลูกแก้วแก่นวิญญาณทั้งสามสิบล้านลูก
ถึงแม้ราชวงศ์เจียงจะเป็นอำนาจที่ทุกคนต่างหวาดกลัว แต่ด้วย’ราชาวานร’ที่ทรงอำนาจ และอยู่เหนือทุกๆ กฏเกณฑ์นั้น ‘ชูเฟิง’ , ‘จื่อ หลิง’ และคนอื่นๆ จึงเดินทางออกไปพร้อมกับราชวงศ์เจียงโดยไม่หวาดกลัวแต่อย่างใด
หลังจากที่ ‘ชูเฟิง’ และคนอื่นๆ จากไปนั้น ตระกูลเจี่ย และสี่มหาอำนาจก็ได้สลายกองทัพของพวกเขาลง และกลับไปยังสถานที่ตั้งของตนเอง
พวกเขาคาดหวังเอาไว้ว่า ด้วยกองทัพของพวกเขาที่บุกโจมตีนิกายโลกวิญญาณ จะสามารถเสริมสร้างชื่อเสียงให้แก่พวกเขาได้
แต่พวกเขากลับไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า แผนการของพวกเขาจะถูกทำลายโดย ‘ชูเฟิง’ เช่นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่พวกเขาพ่ายแพ้เท่านั้น แต่พวกเขาเกือบจะถูกกวาดล้างอย่างย่อยยับ อีกทั้งสี่มหาอำนาจยังสูญเสียผู้นำคนปัจจุบันของพวกเขาไป และตระกูลเจี่ยก็ได้สูญเสียอดีตผู้นำที่แยกออกไปฝึกว่าร้อยปีไป
ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไป พวกเขาจะกลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนทั้งทวีป ดังนั้น พวกเขาจึงพยายามปิดข่าวนี้อย่างรวดเร็ว
แต่เนื่องจากมีคนที่เศร้า ย่อมมีคนที่มีความสุข ทางด้านนิกายโลกวิญญาณได้กระจ่ายของศึกในครั้งนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น ข่าวความพ่ายแพ้ของห้ามหาอำนาจต่อนิกายโลกวิญญาณ และข่าวของยอดอัจฉริยะอย่าง ‘เจี่ย ฉือ’ และผู้นำของสี่มหาอำนาจตายลง จึงได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งเก้าอาณาจักรอย่างรวดเร็ว
และเพื่อแสดงถึงอำนาจของนิกายโลกวิญญาณ พวกเขาจึงได้ประกาศการกระทำของ ‘ชูเฟิง’ และราชาวานรออกไป
จึงทำให้ทุกๆ คนได้รู้ว่า ‘ราชาวานร’ คือผู้เชี่ยวชาญลึกลับ ที่สามารถเอาชนะ ‘เจี่ย ฉือ’ และ ‘กู๋ เทียนเซิน’ ได้เมื่อร้อยปีก่อน อีกทั้งเขายังเป็นราชาที่แท้จริงของหุบเขาพันปิศาจ และยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับ ‘ชูเฟิง’
เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนั้น จึงทำให้ทุกคนได้รู้ว่า ‘ชูเฟิง’ คือตัวแปรสำคัญในชัยชนะของนิกายโลกวิญญาณที่มีต่อห้ามหาอำนาจ
ดังนั้น เมื่อความจริงในเรื่องของ ‘ชูเฟิง’ ได้ถูกเปิดเผยออกมา จึงทำให้ทุกคนเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเขาภายในหัวใจแบบหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็ว
เขาไม่ได้เป็นปิศาจกระหายเลือด ที่สามารถฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา แต่เขาได้กลายเป็นวีรบุรุษหนุ่ม ที่กล้าหาญเข้าต่อสู้กับความชั่วร้าย และกลายเป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรม
ในตอนแรกนั้น หากมีเด็กดื้อกำลังร้องไห้ พวกผู้ใหญ่จะขู่ว่า
“อย่าร้องนะ ไม่งั้นปิศาจร้าย ชูเฟิง จะมาจับตัว”
จากนั้นเด็กเหล่านั้นก็จะหยุดร้องไห้ทันที
แต่ในตอนนี้ เมื่อเด็กๆ ร้องไห้ พวกผู้ใหญ่ก็จะกล่าวว่า
“หยุดร้องไห้นะ ข้าจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวีรบุรุษหนุ่ม ชูเฟิง ที่กล้าหาญต่อสู้กับความชั่วร้ายให้ฟัง”
เด็กๆ ก็จะหยุดร้องไห้ในทันที และพากันนั่งลง ฟังเรื่องราวของ ‘ชูเฟิง’ อย่างตั้งอกตั้งใจทด้วยความตื่นเต้นสนุกสนาน
สำหรับบางคนที่เชิดชู ‘ชูเฟิง’ นั้น เหล่าหนุ่มสาวกลุ่มนี้ต่างเดินทสงมาที่อาณาจักรมังกรฟ้าอย่างรวดเร็ว
เพราะมีข่าวลือว่า ‘ชูเฟิง’ กำลังจะสร้างสำนักมังกรฟ้าขึ้นมาใหม่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับคนที่เชิดชู ‘ชูเฟิง’ จะอยากเข้าสู่สำนักที่เขาสร้างขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ชื่อเสียงของ ‘ชูเฟิง’ ที่เคยเป็นด้านลบ ก็กลับเป็นด้านสว่าง และเขาก็ได้กลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ของทั้งเก้าอาณาจักร
,.
แปลโดยท่าน #
: ฮ่าๆๆ สะใจเว้ย
: ได้ลูกแก้วมาตั้ง 30 ล้าน มีหวังได้ทะลวงเข้าสู่ระดับ 9 แก่นแท้เลยมั้ง
: ก็ไม่แน่ สายเลือดชูเฟิงใช้ทรัพยากรบรมเยอะ
: ก็จริงว่าเยอะแต่อย่างน้อยลูกแก้ว 30 ล้านเม็ด ก็น่าจะพอ . . . . . .
: ที่มืงเดาไว้เป็นไง ก็บอกแล้วว่าเค้าพวกกัน . . . . . .
: เออ!!!
ที่มา: