I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Martial God Asura ตอนที่ 866 – ไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึง

| Martial God Asura | 2540 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

บทที่ 866 – ไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึง

 

“มันไม่น่าจะใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากกายศักดิ์สิทธิ์ เมื่อก่อนข้าเคยเห็นมากับตา ในตอนนั้นที่ จื่อหลิง แห่งตระกูล จื่อ ถือกำเนิด แน่นอนว่าหลายคนต่างจดจำเหตุการณ์นั้นได้ดี นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดว่า ความน่ากลัวของมันเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้””ใช่!!! ข้ายังเคยได้ยินว่า ปรากฏการณ์ของกายศักดิ์สิทธิ์เป็นเหตุการณ์ที่บ่งบอกถึงการถือกำเนิดของกายศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่ามันจะดูอลังการและเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม แต่มันก็ไม่ได้ดูน่ากลัว ราวกับภาพหายนะในครั้งนี้””นึกให้ดีๆ สายฟ้าแปลกๆนั้นมันดูต่างไปจากเหตุการณ์นั้นอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่กลิ่นอายของมันที่แสนน่ากลัว มันยังดูทรงพลังราวกับสามารถบดขยี้โลกใบนี้ได้ง่ายๆ แค่นึกถึงมันข้านี้ก็สยองแล้ว”

 

ผู้ที่มือชื่อเสียงในที่ราบแห่งความหนาวเย็น พากันวิพากย์วิจารย์ขณะที่เหงื่อนี้ไหลอาบใบหน้าของพวกเขาเมื่อพวกเขานึกถึงฉากที่สุดสยองก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่ว่า ประมุขนิกายดาบศิลาห้ามไม่ให้พวกเขาออกจากที่นี้ พวกเขาคงจะพากันเผ่นหนี เพื่อรักษาชีวิตจากสายฟ้าที่ปรากฏ

 

สายฟ้าเหล่านั้นมันสุดแสนจะน่าหวาดกลัว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจที่จะทำใจระงับไม่ให้เกิดความกลัวได้

 

ถึงแม้ว่า อสูรสายฟ้าพวกนั้นจะหายไป พวกเขาก็ไม่อาจทำใจให้สงบได้ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ และ พวกเขาจะเอาชีวิตรอดจากมันได้หรือไม่

 

ความกังวลใจและความอึดอัดได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งนิกายดาบศิลา หากแม้แต่ ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูง ก็ยังพากันหวาดกลัว แล้ว เหล่าหนุ่มสาวล่ะ พวกเขาจะหวาดกลัวขนาดไหน “ทุกๆท่าน หากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ลางบอกเหตุของกายศักดิ์สิทธิ์ แล้วพวกท่านคิดว่ามันเป็นอะไร ?!”

 

ในที่สุด ประมุขนิกายดาบศิลาที่เงียบอยู่นาน ก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เขาทำตัวค่อนข้างจะสงบซึ่งตรงข้ามกับท่าทางของคนอื่นๆ

 

แต่หามีใครรู้ ว่าความสงบนี้ถูกบังคับให้เขาทำแสร้งทำออกมา เพื่อลดความตื่นตระหนกของฝูงชน เขาต้องการที่จะเปลี่ยนบรรยากาศและอารมณ์หวาดกลัวของผู้คน ดังนั้นเขาจำเป็นต้องทำใจให้ตัวเองสงบก่อน ด้วยการดึงความสนใจของทุกๆคน “นั้นสิ ประมุขนิกาย ท่านคิดว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้จะเป็นการมาจุติของกายศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า ? นี้คงไม่ได้หมายความว่า ที่ราบแห่งความหนาวเย็นจะมีกายศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ใช่หรือไม่””ยังไงก็ตาม หากมันคือลางบอกเหตุของกายศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ตอนท้ายมันจะต้องมีบางอย่างเป็นจุดบ่งบอกดั่งเช่นที่ทุกคนเคยเห็นมันมาก่อน””จากสิ่งที่ข้าจำได้ เมื่อตอนที่กายศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลจื่อถือกำเนิด ทุกคนก็เห็นได้ชัดว่า บนท้องฟ้านั้นมีระฆังสีม่วงขนาดใหญ่บินวนรอบๆเป็นเส้นแสงที่สวยงาม ท้ายที่สุดมันก็ พุ่งไปที่ตระกูลจื่อ หลังจากนั้น จื่อหลิง ก็ถือกำเนิด””แต่สิ่งน่ากลัวอย่างอสูรสายฟ้าที่เราพึ่งเห็นเมื่อครู่ มันไม่ได้เป็นเช่นนั่น ยามที่มันปรากฏ เห็นได้ชัดว่ามันเหมือนจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่ามันจะหายไปแต่มันก็หายไปแบบแปลกๆ โดยไม่มีใครรู้ว่ามันพุ่งไปทางไหน”

 

แต่ก็มีบางคนที่แสดงความสงสัยกับคำพูดของประมุขนิกายดาบศิลา

 

เขาคือ หลวงจีนรูปนึง ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยง เขานั้นดูมีอายุมาก ผิวหนังของเขาไม่ใช่แค่เหี่ยวย่นและเต็มไปด้วยริ้วรอย มันยังดูราวกับว่าจะหลุดออกมากับเนื้อซะอย่างงั้น เขาดูไม่ต่างอะไรไปจากศพที่นอนตายอยู่ในโลง

 

เขามีพลังวิญญาณในระดับ 7 จ้าวแห่งสงคาม ซึ่งระดับการเพาะปลูกของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า ประมุขนิกาย เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆในที่ราบแห่งความหนาวเย็น ที่ผู้คนเรียกกันว่า ไต้ซือ พิงจิง “ฟังจากคำพูดของ ไต้ซือ พิงจิง มันน่าจะเป็นไปได้”

 

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหลวงจีนรูปนั้น ฝูงชนก็ต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย

 

เมื่อเห็นว่ามีคนค้านกับคำพูดของเขา ประมุขนิกายดาบศิลาได้แต่ขมวดคิ้วแน่น ด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเถียงออกไปยังไง จึงได้แต่โยนสายตาของเขาไปที่ชายชราผมดำที่ยืนอยู่ข้างๆ

 

ชายชราผมดำคนนั้น ก็ไม่ใช่ธรรมดาๆ เขาไม่เพียงแต่จะมีพลังวิญญาณอยู่ในระดับ 8 จ้าวแห่งสงคราม เขายังนั่งบนพื้นที่หลักของงานเลี้ยง นอกจากนี้เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ยังทำให้ผู้คนที่พบเห็น เกิดความยำเกรงและความหวาดกลัว เพราะคนๆนั้นเป็นคนของหมู่เกาะประหาร

 

ยอดฝีมือทั้งหลายในที่ราบแห่งความหนาวเย็นที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ จริงๆแล้วพวกเขาไม่ได้มาร่วมงานเพื่อเห็นแก่หน้าประมุขนิกายดาบศิลา “ใครล่ะ ที่เป็นคนกำหนดว่า การปรากฏของกายศักดิ์สิทธิ์จะมารูปแบบไหน ?””และใครกันที่กำหนดว่าการมาถึง ของกายศักดิ์สิทธิ์จำเป็นจะต้องประกาศให้คนทั้งโลกรู้ ว่าจะไปอยู่กับตระกูลไหน ?” ชายชราผมดำกล่าวอย่างใจเย็น แม้น้ำเสียงของเขาจะดูสงบแต่คำพูดนั้นเต็มไปด้วยการคุกคาม “เอ้อ …””นี่ …”

 

หลังจากที่เขาพูด ผู้คนต่างไม่มีใครกล้าที่จะเถียงออกมา ว่านั้นใช่หรือไม่ใช่ลางบอกเหตุของกายศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รู้ แต่เพราะพวกเขาไม่กล้า “ฮ่าฮ่า ไต้เท้า หยาน พูดถูก เหตุการณ์ที่ปรากฏนั้น อาจจะเป็นกายศักดิ์สิทธิ์ก็ได้” “แต่หากเป็นกายศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ก็หมายความว่า กายศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้มีเพียงแค่ ตระกูล จื่อ แต่นอกจากนางมีผิวพรรณที่งดงาม การเพาะปลูกของนางก็นับว่าไม่เท่าไหร่””อย่างว่าตำนานก็คงเป็นแค่ตำนาน แม้ว่ามันปรากฏขึ้น แท้จริงแล้วพลังมันอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างในข่าวลือ”

 

หลังจากที่เงียบไปพักนึง จู่ๆก็มีใครบางคนเห็นด้วยกับมุมมองของไต้เท้า หยาน เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการประจบ “ใช่แล้ว!! อย่าว่าแต่กายศักดิ์สิทธิ์ในตำนานอะไรนั้น แม้แต่ตอนนี้ผู้ที่กล่าวได้ว่า อัจฉริยะที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในทะเลตะวันออก ชูเฟิง ที่ใครๆต่างหวาดหวั่นและยังครอบครองพลังในตำนานมากมาย””แต่เขาก็ยังถูกขับไล่โดย ประมุขนิกายดาบศิลา แม้เขาจะเป็นอัจฉริยะแต่ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงเขาก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร”

 

ผู้คนมากมายเริ่มระเบิดวงสนทนา พวกเขาเห็น ชูเฟิง วิ่งหนี ฉือ จิงเทียน ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มดูถูกผู้ที่ได้ชื่อว่า ‘ อัจฉริยะ ‘ “ข้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เห็นมันด้วยตาตัวเอง ประมุขนิกายท่านบอกพวกเราได้ไม๊ว่าก่อนที่ท่านจะกลับมาท่านจัดการเขายังไง ?””ใช่ใช่ใช่ ประมุขนิกาย ฉือ บอกพวกเราหน่อย ว่าจริงๆแล้วเขานั้นเป็นอัจฉริยะอย่างในข่าวลือหรือเปล่า แล้วเขาถูกท่านไล่ตีเหมือนสุนัขนี้เรื่องจริงใช่ไม๊ !”

 

ในขณะนั้น ฝูงชนที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดก็พลันโล่งอก พวกเขาไม่รู้ความจริงว่าจริงๆแล้ว เป็น ชูเฟิง ต่างหากที่ไล่อัดเขาจนเขาต้องหนีกลับมา นำซ้ำพวกเขายังคิดไปว่า ประมุขนิกายดาบศิลา คงทำให้ชูเฟิงต้องอับอายไม่น้อย

 

ขณะที่เขาได้ยินคำถามของผู้คน ประมุขนิกายดาบศิลาที่กำลังดื่มสุราก็พลันเช็ดขอบปาก ก่อนที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิ”

 

ไอเจ้าชูเฟิงมีหรือจะเป็นคู่มือข้า เขาไม่มีค่าพอที่จะพูดถึงเลยด้วยซ้ำ””ไม่มีค่าพอที่จะพูดถึงหรือกลัวขายหน้าเมื่อพูดถึงมัน ?!””เจ้ากลัวว่าหากบอกความจริงแล้วจะถูกหัวเราะเยาะ จากทุกคนที่นี่ใช่มั้ย ?!”

 

ในขณะนั้นก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยดังขึ้น จนทำให้ทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงเกิดความตกใจ “บังอาจ!!! เจ้าเป็นใคร กล้ามากที่พูดจาไร้สาระแบบนี้!!!”ประมุขนิกายดาบศิลา โกรธมากเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาทุบโต๊ะเสียงดัง * ปั้ง * พร้อมกับลุกขึ้นยืน และถามเสียงดังขณะที่ชี้นิ้วไปยัง ที่ที่เต็มไปด้วยผู้คน

 

เมื่อเห็นแบบนั้น สาวกจำนวนต่างมีสีหน้าการแสดงออกที่เปลี่ยนไป พวกเขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัว จนร่างกายของพวกเขาต้องสั่นเทา ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะคำพูดเหล่านั้น พวกเขากลัวว่าหากเป็นคนของตนพูด พวกเขาก็อาจจะซวยไปด้วย

 

ในสถานการณ์แบบนั้นคนที่คับคลั่งก็พากันก้าวถอยจนกลายเป็นที่โล่งว่างเปล่า ขณะที่มีคนคนนึงกำลังยืนอยู่ตรงนั้น

 

เขาดูเป็นแค่เด็กหนุ่ม เขาไม่เพียงแต่มีท่าทีที่ยโส นำซ้ำเขายังมีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า เขายิ้มพร้อมกับจ้องมองมาที่ประมุขนิกายดาบศิลา ขณะที่โดดขึ้นไปยังปลายยอดของพระราชวังและกล่าวออกมา”

 

ไอ้แก่ ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่”

 

ReaDMGA ////////////////////////////////////////

 

C : + แม่งเลย!!!

 

B : จบไป หนึ่งตอน คุยกันเพิ่งเสร็จ!!!

 

A : เออ เปลืองเนื้อที่ และ เวลานอนกูมากเลย!!!

 

C : ไม่เคยนอนไง๊!!! เด๋วกูจะทำให้มืงได้นอนไม่ตื่นอีกเลย

 

A : กูหายง่วงล่ะ . . . . ขอบใจมาก

 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments